การเลือกพันธุ์ปลูก

จาก Cassava
ไปยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

การเลือกพันธุ์มันสำปะหลังที่เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ที่สำคัญ ได้แก่ การเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับลักษณะดิน พื้นที่ปลูก ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ฤดูปลูก อายุเก็บเกี่ยว และระยะปลูก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีส่วนช่วยในการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลัง และลดต้นทุนการผลิต ดังนี้

พันธุ์กับชนิดของเนื้อดิน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ดินที่ใช้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ที่ปลูกกันโดยทั่วไปมักเป็นดินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด เนื้อหยาบ และมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เป็นดินทรายและดินร่วนปนทราย ที่มีปริมาณอินทรียวัตถุในดินต่ำถึงต่ำมากจึงมีการเลือกพันธุ์มันสำปะหลังให้เหมาะสมกับชนิดของเนื้อดินและความอุดมสมบูรณ์ของดินเพื่ออัตราการรอดหลังปลูกและผลผลิตที่สูงขึ้น ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 พันธุ์มันสำปะหลังที่เหมาะสมกับชนิดของเนื้อดินแต่ละชนิด[1]

ชนิดของเนื้อดิน ลักษณะของเนื้อดิน พันธุ์ที่เหมาะสม
ดินทราย
  • เนื้อดินมีลักษณะหยาบ (ทรายจัด)
  • ความอุดมสมบูรณ์ต่ำมาก
  • การระบายน้ำดีมาก
  • พบมากในภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50    
  • พันธุ์ระยอง 72
ดินร่วนปนทราย
  • เนื้อดินค่อนข้างหยาบ
  • ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่ำ
  • การระบายน้ำดี
  • พบมากในทุกภาค
  • ระยอง 7 
  • ระยอง 9
  • ระยอง 90 
  • เกษตรศาสตร์ 50 
  • ห้วยบง 60 
  • ระยอง 72 
ดินร่วนปนเหนียว
  • เนื้อดินปานกลางถึงค่อนข้างละเอียด
  • ความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงค่อนข้างดี
  • การระบายน้ำปานกลาง
  • พบมากในทุกภาค
  • ระยอง 5
  • ระยอง 7 
  • ระยอง 11 
  • ห้วยบง 80 
ดินด่างหรือดินที่มีปูนปะปน
  • เนื้อดินปานกลาง
  • มีเม็ดปูนปะปนสะสมที่ความลึกตั้งแต่ 50 – 100 เซนติเมตร
  • ความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงสูง
  • การระบายน้ำปานกลางถึงดี
  • มักมีปัญหาการขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กำมะถัน
  • พบมากตามที่ลาดเชิงเขาใกล้ภูเขาหินปูนในภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคเหนือ
  • ระยอง 11
  • ระยอง 5

พันธุ์กับโซนพื้นที่ปลูก[2][แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

การเลือกพันธุ์มันสำปะหลังให้เหมาะกับพื้นที่ปลูกเป็นการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงและดูแลรักษาเพื่อปรับสภาพพื้นที่ปลูกให้เหมาะกับชนิดของพันธุ์นั้นๆ โดยการวางแผนผลิตมันสำปะหลังตามการแบ่งเขตการผลิตนิเวศน์เกษตรของกรมพัฒนาที่ดินได้แบ่งเขตการผลิตเป็น 7 เขต ดังตารางที่ 2

ตารางที่ 2 สายพันธุ์มันสำปะหลังที่เหมาะสมกับโซนพื้นที่ต่างๆ

โซน ภูมิภาค จังหวัด สายพันธุ์ที่เหมาะสม
โซน1 ภาคตะวันออก ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา, สระแก้ว, จันทบุรี, ระยอง และตราด
  • ระยอง 5
  • ระยอง 90
  • เกษตรศาสตร์ 50
โซน2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ตอนล่างเขตอับฝน

บุรีรัมย์, ชัยภูมิ และนครราชสีมา
  • ระยอง 72
  • ห้วยบง 60
  • เกษตรศาสตร์ 50
โซน3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ตอนล่างและชายแม่น้ำโขง

นครพนม, มุกดาหาร, ยโสธร, อำนาจเจริญ, อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ และสุรินทร์
  • ระยอง 5
  • เกษตรศาสตร์ 50
โซน4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ตอนกลาง

มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์ และขอนแก่น
  • ระยอง 72
  • ระยอง 7
  • ระยอง 9
  • ระยอง 11
  • เกษตรศาสตร์ 50
โซน5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ตอนบน

เลย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี, หนองคาย และสกลนคร
  • ระยอง 90
  • ระยอง 5
  • ระยอง 72
  • ระยอง 9
  • ระยอง 11
  • เกษตรศาสตร์ 50
โซน6 ภาคเหนือ เชียงราย, อุดรดิตถ์, พิษณุโลก, นครสวรรค์, อุทัยธานี, กำแพงเพชร, เพชรบูรณ์, ตาก, สุโขทัย, แพร่, น่าน, ลำปาง, พะเยา และพิจิตร
  • ระยอง 5
  • ระยอง 7
  • เกษตรศาสตร์ 50
โซน7 ภาคกลาง สระบุรี, ลพบุรี, ชัยนาท, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี และเพชรบุรี
  • ระยอง 5
  • ระยอง 90
  • เกษตรศาสตร์ 50

พันธุ์กับฤดูปลูก  [แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

การปลูกมันสำปะหลังในประเทศไทย เกษตรกรสามารถเลือกปลูกได้ทั้งต้นฤดูฝน (กุมภาพันธ์ - เมษายน) และปลายฤดูฝน (พฤศจิกายน - มกราคม)[3] มันสำปะหลังจะให้ผลผลิตหัวสดสูงสุดหากปลูกช่วงต้นฤดูฝน อย่างไรก็ตามการปลูกในช่วงปลายฝนหรือช่วงแล้ง สามารถลดปัญหาวัชพืช มีผลดีต่อการอนุรักษ์ดิน เนื่องจากช่วงแรกที่ปลูกแม้จะเติบโตช้า แต่ไม่มีฝนตกที่ทำให้เกิดการชะล้างของหน้าดิน เมื่อถึงฤดูฝนมันสำปะหลังจะเจริญเติบโตแผ่พุ่มใบทำให้ลดแรงปะทะจากฝน อีกทั้งมันสำปะหลังเป็นพืชที่สามารถทนแล้งได้ดี ซึ่งหลังจากปลูกและต้นพันธุ์สามารถตั้งตัวได้แล้ว เมื่อขาดฝนมันสำปะหลังจะลดพื้นที่ใบโดยการผลัดใบแก่และสร้างใบใหม่ให้น้อยลง ใบมีขนาดเล็กลง เพื่อลดการคายน้ำ โดยมันสำปะหลังแต่ละพันธุ์มีการตอบสนองต่อช่วงการปลูกและให้ผลผลิตที่ต่างกัน ดังตารางที่ 3

ตารางที่ 3[4] ปริมาณแป้งในหัวสด ผลผลิตหัวสด ผลผลิตแป้ง และผลผลิตมันเส้นของมันสำปะหลังแต่ละพันธุ์ เมื่อปลูกปลายฤดูฝนและต้นฤดูฝน

พันธุ์ ปริมาณแป้งในหัวสด (%) ผลผลิตหัวสด

(ตันต่อไร่)

ผลผลิตแป้ง

(ตันต่อไร่)

ผลผลิตมันเส้น

(ตันต่อไร่)

ปลายฝน ต้นฝน ปลายฝน ต้นฝน ปลายฝน ต้นฝน ปลายฝน ต้นฝน
* ระยอง 7 27.6 27.2 6.30 6.36 1.77 1.73 2.43 2.36
ระยอง 90 26.8 25.8 5.26 5.14 1.42 1.33 1.99 1.91
ระยอง 5 24.7 25.0 5.36 5.27 1.33 1.32 1.95 1.92
เกษตรศาสตร์ 50 26.1 24.4 5.48 5.98 1.45 1.51 2.05 2.19
ระยอง 72 22.5 22.9 5.55 5.81 1.25 1.33 1.92 2.05

หมายเหตุ * มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 7 เมื่อปลูกปลายฤดูฝนและต้นฤดูฝน มีปริมาณแป้งในหัวสด ผลผลิตหัวสด ผลผลิตแป้ง และผลผลิตมันเส้นที่สูงกว่าพันธุ์อื่นๆ

พันธุ์กับอายุเก็บเกี่ยว[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

มันสำปะหลังเป็นพืชอายุยาวสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อใดก็ได้ แต่โดยปกติจะมีการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังมากในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม โดยเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - เดือนมีนาคมมากที่สุด ส่วนช่วงต้นฝนและกลางฝน (เมษายน - ตุลาคม) มีการเก็บเกี่ยวน้อยมาก อายุของมันสำปะหลังที่เกษตรกรทำการเก็บเกี่ยวมีอายุ 8 – 12 เดือน โดยเก็บเกี่ยวให้ทันเวลาที่จะเตรียมดินปลูกมันสำปะหลังในฤดูถัดไป นอกจากนี้มันสำปะหลังที่เก็บเกี่ยวเมื่ออายุได้ 12 เดือน ให้ผลผลิตหัวแห้งสูงกว่าเมื่ออายุ 8 เดือน ไม่ว่าจะปลูกเดือนใดก็ตาม อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรตัดสินใจเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้แก่ ราคาหัวมันสำปะหลัง ฐานะทางเศรษฐกิจ ฤดูกาล แรงงานและที่สำคัญ คือ พันธุ์ที่ปลูก ดังตารางที่ 4

ตารางที่ 4[1] พันธุ์ที่เหมาะสมกับอายุเก็บเกี่ยวที่ต่างกัน

อายุเก็บเกี่ยว พันธุ์ที่เหมาะสม
8 – 12 เดือน
  • ระยอง 90 
  • ระยอง 7 
  • ระยอง 5 
  • เกษตรศาสตร์ 50                 
  • ห้วยบง 60 
  • ห้วยบง 80
มากกว่า 12 เดือน
  • ระยอง 9 
  • ระยอง 11

พันธุ์กับระยะปลูก[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

การปลูกมันสำปะหลังมีระยะปลูกที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับพันธุ์และความอุดมสมบูรณ์ของดิน  ระยะปลูกที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกโดยทั่วไปตามมาตรฐานคือ 1.00 X 1.00 เมตร ในปัจจุบันพบว่า ระยะปลูกมันสำปะหลังใช้ระยะระหว่างแถวและระยะระหว่างต้นแคบลง เช่น 0.80 X 0.80 1.00 X 0.50 และ 1.00 X 0.80 เมตร เป็นต้น เนื่องจากการใช้ระยะปลูกที่แคบลงเป็นผลมาจากความต้องการให้มันสำปะหลังเติบโตคลุมพื้นที่ปลูกมากขึ้น เพื่อลดปัญหาในการกำจัดวัชพืช และให้ได้จำนวนหัวต่อพื้นที่มากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตต่อพื้นที่สูง ส่วนการปลูกในระยะที่มากกว่า 1.00 เมตร เพื่อให้สะดวกต่อการใช้เครื่องจักรกล และระบบการปลูกพืชแซม โดยการปลูกพืชแซมสามารถช่วยรักษาอินทรีย์วัตถุในดินได้ยาวนานกว่า ลดการไหล่บ่าของน้ำ และลดการชะล้างพังทลายของดินบนพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังที่มีความลาดเอียง โดยเกษตรกรสามารถพิจารณาระยะปลูกตามความเหมาะสมของพันธุ์มันสำปะหลัง ดังตารางที่ 5

ตารางที่ 5[1] พันธุ์ที่เหมาะสมกับระยะปลูกที่ต่างกัน

ระยะปลูก

(ระหว่างแถว X ระหว่างต้น)

พันธุ์ที่เหมาะสม
0.80 x 0.80 เมตร
  • ห้วยบง 80 
  • ระยอง 5 
  • ระยอง 72
1.00 x 0.50 เมตร
  • ระยอง 5 
1.00 x 0.80 เมตร
  • ทุกพันธุ์
  • สำหรับพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ใช้ในกรณีดินที่อุดมสมบูรณ์  ปานกลางถึงต่ำ
1.20 x 0.60 เมตร
  • เกษตรศาสตร์ 50 
  • ห้วยบง 80 
1.20 x 0.80 หรือ1.00 x 1.00 เมตร
  • ทุกพันธุ์
  • สำหรับเกษตรศาสตร์ 50 ใช้ในกรณีดินอุดมสมบูรณ์
  • สำหรับห้วยบง 60 ควรปลูกด้วยระยะที่กว้างกว่า 1.00 x 1.00 หรือ 1.20 x 0.80
1.20 x 1.00 เมตร
  • ไม่เหมาะกับพันธุ์ระยอง 5  ระยอง 72  และระยอง 7
  • ส่วนพันธุ์อื่น ๆ จะปลูกได้หากดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง
1.20 x 1.20 เมตร
  • ห้วยบง 60
  • เกษตรศาสตร์ 50 ปลูกในดินอุดมสมบูรณ์สูง

อ้างอิง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  1. 1.0 1.1 1.2 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2556) เทคโนโลยี 52 สัปดาห์ มันสำปะหลัง. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์:กรุงเทพฯ.
  2. อนุสรณ์ สัจจะประภา. 2558. การศึกษาแนวทางการปฏิบัติที่ดีเพื่อเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลัง. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา.
  3. วิจารณ์ วิชชุกิจ. 2551. เทคนิคการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่.https://www.tapiocathai.org/Articles/51_4.pdf. สืบค้นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2564.
  4. [1]