การเตรียมท่อนพันธุ์
ปัจจุบันมีมันสำปะหลังหลายพันธุ์ให้เกษตรกรเลือกใช้ปลูกในแต่ละท้องที่ และดินแต่ละชุด จะมีความเหมาะสมกับพันธุ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป การขยายพันธุ์มันสำปะหลังส่วนใหญ่ไม่นิยมขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด เนื่องจากมันสำปะหลังไม่ค่อยติดเมล็ด อีกทั้งการเก็บเมล็ดพันธุ์นั้นลำบาก เนื่องจากเมื่อฝักแก่แล้วจะแตก ทำให้เมล็ดของมันสำปะหลังร่วง และต้องพักตัวประมาณ 2 เดือน จึงจะสามารถนำมาเพาะเป็นต้นกล้า ต้องใช้เวลาในการอนุบาลก่อนจะย้ายลงแปลงปลูก และมักเกิด การผสมข้ามพันธุ์ได้ง่าย การปลูกด้วยเมล็ดจึงจึงนิยมในการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หรือการปรับปรุงพันธุ์เท่านั้น ดังนั้นเกษตรกรจึงนิยมขยายพันธุ์มันสำปะหลังด้วยการใช้ท่อนพันธุ์ ซึ่งการเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลังควรคำนึงถึงต้นพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูก จึงจะสามารถเจริญเติบโตได้ดี มีโอกาสในการติดโรคและแมลงน้อย การเตรียมท่อนพันธุ์มีข้อพิจารณา ดังนี้
การตัดท่อนพันธุ์ [1]
ลักษณะการสับท่อนพันธุ์โดยวิธีสับตรงหรือสับเฉียง รวมทั้งการใช้มีดหรือใช้เครื่องตัดหญ้าติดใบมีดตัด ไม่ทำให้ผลผลิตที่ได้แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกวิธีและอุปกรณ์ในการสับท่อนพันธุ์จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมของแรงงานและอุปกรณ์ที่มีอยู่
การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยธาตุอาหารพืช [1]
การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารชีวภาพหรือฮอร์โมนเร่งรากไม่ทำให้ผลผลิตและปริมาณแป้งในหัวแตกต่างกัน จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนในขั้นตอนนี้ แต่หากต้นพันธุ์ที่นำมาใช้ปลูกเป็นต้นเก่า เก็บรักษาไว้นานมากกว่า 1 เดือน แนะนำให้แช่ท่อนพันธุ์ในน้ำเปล่านานประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วนำขึ้นมาบ่มไว้นาน 1 คืน จะช่วยให้ความงอกและความอยู่รอดสูงขึ้นแตกต่างจากการไม่แช่น้ำอย่างเด่นชัด โดยไม่จำเป็นต้องแช่ฮอร์โมนหรือปุ๋ยชีวภาพแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวสิ้นเปลืองเวลาและไม่สะดวกในทางปฏิบัติ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการเลือกใช้ต้นพันธุ์ที่ตัดสดหรือตัดทิ้งไว้ไม่เกิน 15 วันมาปลูก โดยการวางแผนช่วงเวลาตัดต้นพันธุ์ให้สอดคล้องกับแผนการปลูก
ในกรณีที่พื้นที่ปลูกเป็นดินด่าง (pH > 7.0) หรือต้นพันธุ์ที่จัดหามาปลูกได้มาจากพื้นที่ที่ขาดธาตุสังกะสี (Zn) เมื่อนำต้นพันธุ์จากแหล่งที่ขาดธาตุอาหารดังกล่าวมาปลูก ต้นมันสำปะหลังมักแสดงอาการขาดธาตุสังกะสีตั้งแต่ต้นยังเล็ก วิธีการแก้ไขทำได้โดยการแช่ในสารละลายซิงค์ซัลเฟต (ZnSO4) ที่ความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ โดยผสมซิงค์ซัลเฟตในอัตรา 400 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร แช่ท่อนพันธุ์นานประมาณ 10 นาที ทั้งนี้สามารถแช่ไปพร้อมกับสารเคมีป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งได้ หรือหากไม่สะดวกในการแช่ท่อนพันธุ์สามารถฉีดพ่นธาตุอาหารดังกล่าวทางใบโดยผสมซิงค์ซัลเฟตในอัตรา 800 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 2 – 3 ครั้ง ทุก 7 วัน ตั้งแต่มันสำปะหลังเริ่มงอกจนถึง 60 วันหลังปลูก หรือจนกว่ามันสำปะหลังจะไม่แสดงอาการขาดธาตุอาหารดังกล่าว
การแช่ท่อนพันธุ์เพื่อป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง [1]
หากใช้ท่อนพันธุ์ที่มาจากแหล่งที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง หรือในพื้นที่ปลูกโดยรอบพบการระบาดของเพลี้ยแป้งอยู่ก่อนแล้ว ควรแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงก่อนปลูก สารเคมีที่แนะนำและวิธีการใช้ แสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 สารเคมีป้องกันและกำจัดแมลง อัตราการใช้ และระยะเวลาในการแช่ท่อนพันธุ์[2]
สารเคมี | อัตรา (กรัม/น้ำ 20 ลิตร) | แช่นาน (นาที) |
ไทอะมิโทแซม 25% WG | 4 | 5 – 10 |
อิมิดาโคลพริด 70% WG | 4 | 5 – 10 |
ไดโนทีฟูแรน 10% WP | 40 | 5 – 10 |
วิธีการผสมสารเคมีแช่ท่อนพันธุ์ ทำได้โดยการผสมสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งข้างต้นตามอัตราที่แนะนำ แล้วแช่ท่อนพันธุ์นาน 5 – 10 นาที ไม่ควรแช่นานเกิน 10 นาที เนื่องจากอาจทำให้มันสำปะหลังแสดงอาการเป็นพิษจากฤทธิ์ของสารเคมี และทำให้สิ้นเปลืองเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ เมื่อแช่เสร็จสามารถนำไปปลูกได้ทันทีหรืออาจผึ่งลมไว้ให้แห้งก่อนปลูกก็ได้ โดยปกติการปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ ใช้น้ำแช่ท่อนพันธุ์ประมาณ 80 ลิตร เมื่อแช่ท่อนพันธุ์ 3 – 4 ครั้ง น้ำในถังแช่จะลดลง สามารถผสมสารเคมีในอัตราเดิมหรือความเข้มข้นเท่าเดิมเทเพิ่มลงไปในถังแช่ท่อนพันธุ์ได้โดยไม่ทำให้ความเข้มข้นของสารเคมีเปลี่ยนแปลง จะช่วยกำจัดเพลี้ยแป้งที่ติดมากับท่อนพันธุ์ และสารเคมีจะแทรกซึมเข้าไปในท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง หลังจากมันสำปะหลังงอกแล้วสารฆ่าแมลงจะมีฤทธิ์ป้องกันการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้งได้นานประมาณ 1 เดือน[2]
การเก็บรักษาท่อนพันธุ์ [1]
ภายหลังตัดต้นพันธุ์ออกจากแปลง ต้องใช้เวลาในการขุดเก็บเกี่ยวผลผลิตและเตรียมพื้นที่เพื่อปลูกใหม่ในฤดูถัดไป อาจต้องใช้เวลามากกว่า 15 วัน หรืออาจต้องรอให้ฝนตกจนดินมีความชื้นเพียงพอสำหรับปลูกซึ่งอาจต้องเก็บรักษาต้นพันธุ์ไว้นานมากกว่า 2 เดือน การยืดอายุการเก็บรักษาต้นพันธุ์ให้ยาวนานขึ้น สามารถปฏิบัติตามวิธีการดังนี้
- จัดเตรียมแปลงที่จะใช้เก็บรักษาต้นพันธุ์โดยการไถพรวนดินให้ร่วนซุย และอาจให้น้ำเพื่อให้ดินมีความชื้นสม่ำเสมอ
- จัดเรียงต้นพันธุ์โดยให้ส่วนโคนต้นสม่ำเสมอกัน
- ตั้งมัดต้นพันธุ์เป็นกองรูปกระโจมประมาณ 20 มัดต่อกอง หรือประมาณ 500 ลำต่อกอง โดยตั้งให้เป็นแถว เว้นช่องว่างหรือทำถนนให้รถบรรทุกสามารถเข้าไปขนต้นพันธุ์ไปปลูกได้โดยสะดวก
- ใช้ดินกลบส่วนโคนต้นโดยรอบกองต้นพันธุ์
- หากสามารถให้น้ำได้ ให้รดน้ำบริเวณโดยรอบกองต้นพันธุ์ให้ดินมีความชื้นอยู่เสมอ
- การกองต้นพันธุ์ควรเลือกกองในสภาพกลางแจ้งจะดีกว่าการกองไว้ในร่ม
การปฏิบัติตามวิธีการข้างต้นสามารถเก็บรักษาต้นพันธุ์ได้นานประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ อย่างไรก็ตามคุณภาพต้นพันธุ์จะเสื่อมไปตามอายุการเก็บรักษาต้นพันธุ์ ดังนั้นเกษตรกรจึงควรทำแปลงสำรองพันธุ์ไว้ใช้เองในพื้นที่เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันแปรของสภาพอากาศ ซึ่งโดยปกติแปลงสำรองพันธุ์ขนาด 1 ไร่ สามารถนำไปปลูกได้ในพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ หรืออัตราส่วน 1 ต่อ 5