ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การจัดการน้ำในแปลงปลูก"

บรรทัดที่ 27: บรรทัดที่ 27:
=== รูปแบบการให้น้ำ ===
=== รูปแบบการให้น้ำ ===


==== '''1. การให้น้ำแบบเหนือผิวดิน''' ====
==== '''การให้น้ำแบบเหนือผิวดิน''' ====
เป็นการให้น้ำในแปลงปลูกพืชที่มีพื้นที่มีความลาดเทมากและไม่สามารถปรับพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอ ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น การให้น้ำระบบฝนโปรย (sprinkler) หรือรูปแบบน้ำหยด เป็นต้น  
เป็นการให้น้ำในแปลงปลูกพืชที่มีพื้นที่มีความลาดเทมากและไม่สามารถปรับพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอ ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น การให้น้ำระบบฝนโปรย (sprinkler) หรือรูปแบบน้ำหยด เป็นต้น  


บรรทัดที่ 33: บรรทัดที่ 33:
# '''การให้น้ำรูปบน้ำหยด (Drip หรือ Trickle)''' เป็นการใช้ปั้มน้ำส่งน้ำผ่านท่อไปยังหัวน้ำหยดซึ่งน้ำจะหยดลงดิน ทำให้ดินบางส่วนภายใต้รัศมีทรงพุ่มของพืชได้รับน้ำ ซึ่งเหมาะสำหรับให้น้ำในแปลงมันสำปะหลังที่ปลูกในฤดูแล้งปลายฝน (ธรรมนูญ, 2549)  เป็นวิธีที่ประหยัดแรงงานในการให้น้ำ สามารถให้ปุ๋ยและสารเคมีพร้อม ๆ กับการให้น้ำได้ ลดปัญหาของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความเปียกชื้นและปัญหาวัชพืชในแปลง รวมทั้งมีประสิทธิภาพการใช้น้ำ 95-100 เปอร์เซ็นต์ (ธรรมนูญ, 2549; พงษ์ศักด์ิ, 2548; มนตรี, 2554) นอกจากนี้ ข้อดีของการให้น้ำแบบหยด คือ ให้น้ำปริมาณน้อย ให้ได้บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดน้ำและช่วยรักษาความชื้นในดินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช (Fao, 2013)
# '''การให้น้ำรูปบน้ำหยด (Drip หรือ Trickle)''' เป็นการใช้ปั้มน้ำส่งน้ำผ่านท่อไปยังหัวน้ำหยดซึ่งน้ำจะหยดลงดิน ทำให้ดินบางส่วนภายใต้รัศมีทรงพุ่มของพืชได้รับน้ำ ซึ่งเหมาะสำหรับให้น้ำในแปลงมันสำปะหลังที่ปลูกในฤดูแล้งปลายฝน (ธรรมนูญ, 2549)  เป็นวิธีที่ประหยัดแรงงานในการให้น้ำ สามารถให้ปุ๋ยและสารเคมีพร้อม ๆ กับการให้น้ำได้ ลดปัญหาของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความเปียกชื้นและปัญหาวัชพืชในแปลง รวมทั้งมีประสิทธิภาพการใช้น้ำ 95-100 เปอร์เซ็นต์ (ธรรมนูญ, 2549; พงษ์ศักด์ิ, 2548; มนตรี, 2554) นอกจากนี้ ข้อดีของการให้น้ำแบบหยด คือ ให้น้ำปริมาณน้อย ให้ได้บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดน้ำและช่วยรักษาความชื้นในดินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช (Fao, 2013)


==== '''2. การให้น้ำทางผิวดิน (surface)''' ====
==== '''การให้น้ำทางผิวดิน (surface)''' ====
เป็นรูปแบบการให้น้ำที่ขังไว้ หรือปล่อยไหลไปตามผิวดิน และซึมลงไปในดินตรงจุดที่น้ำนั้นขัง หรือตรงบริเวณที่น้ำไหลผ่าน การให้น้ำรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพ 60-80 เปอร์เซ็นต์ (พงษ์ศักดิ์, 2548) ซึ่งการให้น้ำผิวดินแบ่งได้ 2 ลักษณะด้วยกันคือ  
เป็นรูปแบบการให้น้ำที่ขังไว้ หรือปล่อยไหลไปตามผิวดิน และซึมลงไปในดินตรงจุดที่น้ำนั้นขัง หรือตรงบริเวณที่น้ำไหลผ่าน การให้น้ำรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพ 60-80 เปอร์เซ็นต์ (พงษ์ศักดิ์, 2548) ซึ่งการให้น้ำผิวดินแบ่งได้ 2 ลักษณะด้วยกันคือ  


บรรทัดที่ 39: บรรทัดที่ 39:
# '''การให้น้ำตามร่อง (Contour Furrow)''' เหมาะสำหรับการปลูกพืชที่มีระยะห่าง มีการไถยกร่องและปลูกส่วนขยายพันธุ์ของพืชบนสันร่องเป็นแถว เช่น มันสำปะหลัง พื้นที่ปลูกควรมีความลาดเท 1 - 8% จะช่วยให้พืชได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ ข้อควรระวังคือ ร่องปลูกจะต้องไม่ยาวมากและมีการป้องกันร่องระบายน้ำอย่างดีเพื่อให้ระบายน้ำที่เหลือออกได้โดยไม่เกิดการกัดเซาะที่รุนแรง นอกจากนี้การใช้เครื่องจักรกลและอุปกรณ์การเกษตรในพื้นที่ปลูกอาจทำได้ลำบาก (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)
# '''การให้น้ำตามร่อง (Contour Furrow)''' เหมาะสำหรับการปลูกพืชที่มีระยะห่าง มีการไถยกร่องและปลูกส่วนขยายพันธุ์ของพืชบนสันร่องเป็นแถว เช่น มันสำปะหลัง พื้นที่ปลูกควรมีความลาดเท 1 - 8% จะช่วยให้พืชได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ ข้อควรระวังคือ ร่องปลูกจะต้องไม่ยาวมากและมีการป้องกันร่องระบายน้ำอย่างดีเพื่อให้ระบายน้ำที่เหลือออกได้โดยไม่เกิดการกัดเซาะที่รุนแรง นอกจากนี้การใช้เครื่องจักรกลและอุปกรณ์การเกษตรในพื้นที่ปลูกอาจทำได้ลำบาก (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)


==== '''3. การให้น้ำใต้ดิน (Subirrigation)''' ====
==== '''การให้น้ำใต้ดิน (Subirrigation)''' ====
เป็นการให้น้ำโดยการยกระดับน้ำใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่น้ำจะไหลซึมขึ้นมาสู่เขตรากพืชได้ จะทำให้น้ำบริเวณเขตรากพืชเกิดการเคลื่อนที่โดยแรงดึงดูดของช่องว่างภายในอนุภาคดิน จากที่ที่มีความชื้นไปยังบริเวณที่แห้ง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) สามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ การให้น้ำในคูและการฝั่งท่อน้ำไว้ใต้ดิน โดยความลึกของระดับน้ำใต้ดินขณะให้น้ำจะอยู่ระหว่าง 30-60 ซม. การให้น้ำรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพ 30-50 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสมที่จะใช้กับดินที่มีเนื้อดินชนิดเดียวกัน แต่จำกัดใช้ได้กับพืชเพียงบางชนิดที่มีรากลึก หากพืชยืนต้นไม่เหมาะที่จะให้น้ำรูปแบบนี้ (วิบูลย์, 2526)
เป็นการให้น้ำโดยการยกระดับน้ำใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่น้ำจะไหลซึมขึ้นมาสู่เขตรากพืชได้ จะทำให้น้ำบริเวณเขตรากพืชเกิดการเคลื่อนที่โดยแรงดึงดูดของช่องว่างภายในอนุภาคดิน จากที่ที่มีความชื้นไปยังบริเวณที่แห้ง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) สามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ การให้น้ำในคูและการฝั่งท่อน้ำไว้ใต้ดิน โดยความลึกของระดับน้ำใต้ดินขณะให้น้ำจะอยู่ระหว่าง 30-60 ซม. การให้น้ำรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพ 30-50 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสมที่จะใช้กับดินที่มีเนื้อดินชนิดเดียวกัน แต่จำกัดใช้ได้กับพืชเพียงบางชนิดที่มีรากลึก หากพืชยืนต้นไม่เหมาะที่จะให้น้ำรูปแบบนี้ (วิบูลย์, 2526)
100

การแก้ไข