การจัดการน้ำในแปลงปลูก

รุ่นแก้ไขเมื่อ 08:39, 2 กรกฎาคม 2564 โดย Thanapon(คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "=== '''ความต้องการน้ำของมันสำปะหลัง''' === มันสำปะหลังเป็นพืช...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ความต้องการน้ำของมันสำปะหลัง

มันสำปะหลังเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้ง Alves (2002) แบ่งระยะการเจริญเติบโตออกเป็น 5 ระยะ คือ 1) ระยะแตกตาอายุ 5-15 วัน 2) ระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและรากอายุ 16-90 วัน 3) ระยะการเจริญทางต้นและใบอายุ 91-180 วัน 4) ระยะสะสมอาหารที่หัวอายุ 181-300 วัน และ 5) ระยะพักตัว อายุ 301-365 วัน แต่มีระยะเวลาที่ควรได้รับน้ำอย่างเพียงพอ 150 วันหลังปลูก ได้แก่ ระยะแตกตาถึงระยะการเจริญทางต้นและใบ (Alves, 2002) เพื่อให้ต้นมันสำปะหลังเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี ค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช (Crop Coefficient; Kc) สำหรับมันสำปะหลังแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงของการเจริญเติบโต เมื่อมันสำปะหลังมีอายุ 0-60 (ระยะแตกตาถึงระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและราก), 61-150 (ระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและรากถึงระยะสะสมอาหารที่หัว) และ 151-210 (ระยะสะสมอาหารที่หัว) วันหลังปลูก มีค่า Kc เท่ากับ 0.3, 0.8 และ 0.3 และมีความต้องการน้ำเท่ากับ 1.8, 5.0 และ 1.8 มิลลิเมตรต่อวันตามลำดับ หรือประมาณ 760 มิลลิเมตร หรือ 1,274 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ตลอดระยะเวลาปลูก 365 วัน (ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์, 2559; Allen et al, 1998) ทั้งนี้มันสำปะหลังควรได้รับน้ำไม่น้อยกว่า 50 มิลลิเมตรต่อเดือน หรือ 500-600 มิลลิเมตรต่อปี (CIAT, 1980; Cock, 1985) เพื่อป้องกันไม่ให้หัวมันสำปะหลังหยุดการเจริญเติบโต (มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย, 2546)

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการน้ำสำหรับมันสำปะหลัง

โดยทั่วไปในการพิจารณาการให้น้ำแก่พืชเพื่อให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี จะต้องคำนึงถึง 5 ปัจจัย ได้แก่

  1. สภาพแวดล้อมบริเวณที่ปลูก เช่น อุณหภูมิ เมื่ออุณภูมิสูงขึ้นจะเกิดการถ่ายเทความร้อนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ดินมีการระเหยน้ำจากดินขึ้นสู่บรรยากาศ สำหรับพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังควรมีอุณภูมิอากาศ 25-29 องศาเซลเซียส
  2. ชนิดของดินที่ต่างกันจะมีผลต่อความดูดซับน้ำของเนื้อดินได้ต่างกัน ทำให้รากพืชดูดน้ำไปใช้ได้ต่างกัน สำหรับมันสำปะหลังเหมาะสำหรับดินที่มีลักษณะเป็นดินร่วนถึงร่วนปนทราย มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศ
  3. ระยะการเจริญเติบโตของมันสำประหลังจะมีความต้องการน้ำมากในช่วง 5 เดือนแรกหลังปลูก หรือประมาณ 150 วันหลังปลูก โดยต้องการน้ำประมาณ 1,274 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ต่อปี
  4. แหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิตมันสำปะหลัง ซึ่งโดยทั่วไป 80 เปอร์เซ็นต์เป็นการผลิตโดยอาศัยน้ำฝน ส่วน 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นการผลิตโดยอาศัยน้ำฝนร่วมกับการจัดการน้ำระบบชลประทานรูปแบบต่าง ๆ เช่น ระบบน้ำหยด
  5. วิธีการสังเกตเมื่อมันสำปะหลังขาดน้ำ เมื่อมันสำปะหลังไม่สามารถดูดน้ำได้เพียงพอต่ออัตราการคายน้ำ จะทำให้พืชเริ่มแสดงอาการเหี่ยวเฉาอย่างถาวร

การจัดการน้ำสำหรับมันสำปะหลัง

สำหรับการปลูกมันสำปะหลังทั่วโลกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นการปลูกโดยอาศัยน้ำฝน และส่วน 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นการปลูกโดยอาศัยน้ำฝนร่วมกับการจัดการน้ำชลประทาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการให้น้ำแบบน้ำหยด โดยเป็นการให้น้ำแก่มันสำปะหลังในช่วงที่ฝนไม่ตกเพื่อให้มันสำปะหลังได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจากไม่ให้น้ำถึง 2 เท่า

  1. การปลูกในเขตน้ำฝน มันสำปะหลังสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีหากปริมาณน้ำฝนสม่ำเสมอ หรือมีความชื้นที่เพียงพอต่อการงอกในระยะแรก สำหรับประเทศไทยมีการปลูกมันสำปะหลังเกือบร้อยละ 50 ของพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั้งหมด พบว่า ปลูกมันสำปะหลังในช่วงเดือนเมษายน ถึง เดือนมิถุนายน โดยสิ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการปลูกมันสำปะหลังที่อาศัยน้ำฝน คือ ปริมาณน้ำที่จะได้รับจากฝนว่าเพียงพอหรือไม่ หรือหากได้รับน้ำฝนในปริมาณที่มากเกินไปมีการจัดการพื้นที่เพื่อระบายน้ำได้ดีไหม เพื่อลดอาการเน่าของผลผลิต แต่สำหรับประเทศไทยยังเจอปัญหาในช่วงแล้งที่ฝนไม่ตก คือ ส่งผลต่อการแตกตาและการเจริญเติบโตของมันสำปะหลังกระทบไปยังผลผลิต อีกด้วย (Fao, 2013)
  2. การปลูกในเขตชลประทาน การจัดการน้ำชลประทานเพื่อการปลูกมันสำปะหลังสามารถจัดการได้หลายรูปแบบทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ สมบัติของดิน ลักษณะพื้นที่ หรือการเตรียมดินเพื่อปลูก ตลอดจนแหล่งน้ำมีปริมาณมากน้อยเพียงใดที่จะนำมาให้แก่พืช (ธรรมนูญ, 2549) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ๆ คือ การให้น้ำแบบเหนือผิวดิน การให้น้ำทางผิวดิน และการให้น้ำใต้ผิวดิน

รูปแบบการให้น้ำ

  1. การให้น้ำแบบเหนือผิวดิน
  2. การให้น้ำทางผิวดิน (surface)
  3. การให้น้ำใต้ดิน (Subirrigation)