ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเตรียมท่อนพันธุ์"

จาก Cassava
ไปยังการนำทาง ไปยังการค้นหา
(สร้างหน้าด้วย "ปัจจุบันมีมันสำปะหลังหลายพันธุ์ให้เกษตรกรเลือกใช้ปล...")
 
บรรทัดที่ 3: บรรทัดที่ 3:
== '''การตัดท่อนพันธุ์''' ==
== '''การตัดท่อนพันธุ์''' ==
ลักษณะการสับท่อนพันธุ์โดยวิธีสับตรงหรือสับเฉียง รวมทั้งการใช้มีดหรือใช้เครื่องตัดหญ้าติดใบมีดตัด ไม่ทำให้ผลผลิตที่ได้แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกวิธีและอุปกรณ์ในการสับท่อนพันธุ์จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมของแรงงานและอุปกรณ์ที่มีอยู่  
ลักษณะการสับท่อนพันธุ์โดยวิธีสับตรงหรือสับเฉียง รวมทั้งการใช้มีดหรือใช้เครื่องตัดหญ้าติดใบมีดตัด ไม่ทำให้ผลผลิตที่ได้แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกวิธีและอุปกรณ์ในการสับท่อนพันธุ์จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมของแรงงานและอุปกรณ์ที่มีอยู่  
[[ไฟล์:Image s10.png|center|thumb|319x319px|การตัดท่อนพันธุ์ด้วยมีด]]
[[ไฟล์:Image s10.png|center|thumb|319x319px|ภาพแสดงการตัดท่อนพันธุ์ด้วยมีด]]
[[ไฟล์:Image s11.png|center|thumb|323x323px|การตัดท่อนพันธุ์ด้วยเครื่องตัดหญ้าติดใบมีด]]
[[ไฟล์:Image s11.png|center|thumb|323x323px|ภาพแสดงการตัดท่อนพันธุ์ด้วยเครื่องตัดหญ้าติดใบมีด]]
 
== '''การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยธาตุอาหารพืช''' ==
การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารชีวภาพหรือฮอร์โมนเร่งรากไม่ทำให้ผลผลิตและปริมาณแป้งในหัวแตกต่างกัน จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนในขั้นตอนนี้ แต่หากต้นพันธุ์ที่นำมาใช้ปลูกเป็นต้นเก่า เก็บรักษาไว้นานมากกว่า 1 เดือน แนะนำให้แช่ท่อนพันธุ์ในน้ำเปล่านานประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วนำขึ้นมาบ่มไว้นาน 1 คืน จะช่วยให้ความงอกและความอยู่รอดสูงขึ้นแตกต่างจากการไม่แช่น้ำอย่างเด่นชัด โดยไม่จำเป็นต้องแช่ฮอร์โมนหรือปุ๋ยชีวภาพแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวสิ้นเปลืองเวลาและไม่สะดวกในทางปฏิบัติ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการเลือกใช้ต้นพันธุ์ที่ตัดสดหรือตัดทิ้งไว้ไม่เกิน 15 วันมาปลูก โดยการวางแผนช่วงเวลาตัดต้นพันธุ์ให้สอดคล้องกับแผนการปลูก
 
ในกรณีที่พื้นที่ปลูกเป็นดินด่าง (pH > 7.0) หรือต้นพันธุ์ที่จัดหามาปลูกได้มาจากพื้นที่ที่ขาดธาตุสังกะสี (Zn) เมื่อนำต้นพันธุ์จากแหล่งที่ขาดธาตุอาหารดังกล่าวมาปลูก ต้นมันสำปะหลังมักแสดงอาการขาดธาตุสังกะสีตั้งแต่ต้นยังเล็ก วิธีการแก้ไขทำได้โดยการแช่ในสารละลายซิงค์ซัลเฟต (ZnSO<sub>4</sub>) ที่ความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ โดยผสมซิงค์ซัลเฟตในอัตรา 400 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร แช่ท่อนพันธุ์นานประมาณ 10 นาที ทั้งนี้สามารถแช่ไปพร้อมกับสารเคมีป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งได้ หรือหากไม่สะดวกในการแช่ท่อนพันธุ์สามารถฉีดพ่นธาตุอาหารดังกล่าวทางใบโดยผสมซิงค์ซัลเฟตในอัตรา 800 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 2 – 3 ครั้ง ทุก 7 วัน ตั้งแต่มันสำปะหลังเริ่มงอกจนถึง 60 วันหลังปลูก หรือจนกว่ามันสำปะหลังจะไม่แสดงอาการขาดธาตุอาหารดังกล่าว
 
== '''การแช่ท่อนพันธุ์เพื่อป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง''' ==
หากใช้ท่อนพันธุ์ที่มาจากแหล่งที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง หรือในพื้นที่ปลูกโดยรอบพบการระบาดของเพลี้ยแป้งอยู่ก่อนแล้ว ควรแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงก่อนปลูก สารเคมีที่แนะนำและวิธีการใช้ แสดงใน'''ตารางที่ 1'''
 
'''ตารางที่ 1''' สารเคมีป้องกันและกำจัดแมลง อัตราการใช้ และระยะเวลาในการแช่ท่อนพันธุ์
{| class="wikitable"
|'''สารเคมี'''
|'''อัตรา (กรัม/น้ำ 20 ลิตร)'''
|'''แช่นาน (นาที)'''
|-
|ไทอะมิโทแซม 25% WG
|4
|5 – 10
|-
|อิมิดาโคลพริด 70% WG
|4
|5 – 10
|-
|ไดโนทีฟูแรน 10% WP
|40
|5 – 10
|}
วิธีการผสมสารเคมีแช่ท่อนพันธุ์ ทำได้โดยการผสมสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งข้างต้นตามอัตราที่แนะนำ แล้วแช่ท่อนพันธุ์นาน 5 – 10 นาที ไม่ควรแช่นานเกิน 10 นาที เนื่องจากอาจทำให้มันสำปะหลังแสดงอาการเป็นพิษจากฤทธิ์ของสารเคมี และทำให้สิ้นเปลืองเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ เมื่อแช่เสร็จสามารถนำไปปลูกได้ทันทีหรืออาจผึ่งลมไว้ให้แห้งก่อนปลูกก็ได้ โดยปกติการปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ ใช้น้ำแช่ท่อนพันธุ์ประมาณ 80 ลิตร เมื่อแช่ท่อนพันธุ์ 3 – 4 ครั้ง น้ำในถังแช่จะลดลง สามารถผสมสารเคมีในอัตราเดิมหรือความเข้มข้นเท่าเดิมเทเพิ่มลงไปในถังแช่ท่อนพันธุ์ได้โดยไม่ทำให้ความเข้มข้นของสารเคมีเปลี่ยนแปลง จะช่วยกำจัดเพลี้ยแป้งที่ติดมากับท่อนพันธุ์ และสารเคมีจะแทรกซึมเข้าไปในท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง หลังจากมันสำปะหลังงอกแล้วสารฆ่าแมลงจะมีฤทธิ์ป้องกันการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้งได้นานประมาณ 1 เดือน
[[ไฟล์:Image s12.png|center|thumb|336x336px|ภาพแสดงการแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีเพื่อป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง]]
 
== '''การเก็บรักษาท่อนพันธุ์''' ==
ภายหลังตัดต้นพันธุ์ออกจากแปลง ต้องใช้เวลาในการขุดเก็บเกี่ยวผลผลิตและเตรียมพื้นที่เพื่อปลูกใหม่ในฤดูถัดไป อาจต้องใช้เวลามากกว่า 15 วัน หรืออาจต้องรอให้ฝนตกจนดินมีความชื้นเพียงพอสำหรับปลูกซึ่งอาจต้องเก็บรักษาต้นพันธุ์ไว้นานมากกว่า 2 เดือน การยืดอายุการเก็บรักษาต้นพันธุ์ให้ยาวนานขึ้น สามารถปฏิบัติตามวิธีการดังนี้
 
# จัดเตรียมแปลงที่จะใช้เก็บรักษาต้นพันธุ์โดยการไถพรวนดินให้ร่วนซุย และอาจให้น้ำเพื่อให้ดินมีความชื้นสม่ำเสมอ
# จัดเรียงต้นพันธุ์โดยให้ส่วนโคนต้นสม่ำเสมอกัน
# ตั้งมัดต้นพันธุ์เป็นกองรูปกระโจมประมาณ 20 มัดต่อกอง หรือประมาณ 500 ลำต่อกอง โดยตั้งให้เป็นแถว เว้นช่องว่างหรือทำถนนให้รถบรรทุกสามารถเข้าไปขนต้นพันธุ์ไปปลูกได้โดยสะดวก
# ใช้ดินกลบส่วนโคนต้นโดยรอบกองต้นพันธุ์
# หากสามารถให้น้ำได้ ให้รดน้ำบริเวณโดยรอบกองต้นพันธุ์ให้ดินมีความชื้นอยู่เสมอ
# การกองต้นพันธุ์ควรเลือกกองในสภาพกลางแจ้งจะดีกว่าการกองไว้ในร่ม
 
การปฏิบัติตามวิธีการข้างต้นสามารถเก็บรักษาต้นพันธุ์ได้นานประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ อย่างไรก็ตามคุณภาพต้นพันธุ์จะเสื่อมไปตามอายุการเก็บรักษาต้นพันธุ์ ดังนั้นเกษตรกรจึงควรทำแปลงสำรองพันธุ์ไว้ใช้เองในพื้นที่เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันแปรของสภาพอากาศ ซึ่งโดยปกติแปลงสำรองพันธุ์ขนาด 1 ไร่ สามารถนำไปปลูกได้ในพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ หรืออัตราส่วน 1 ต่อ 5
 
[[ไฟล์:Image s13.png|center|thumb|340x340px|ภาพแสดงวิธีการเก็บรักษาต้นพันธุ์ที่ดี]]
 
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:19, 2 กรกฎาคม 2564

ปัจจุบันมีมันสำปะหลังหลายพันธุ์ให้เกษตรกรเลือกใช้ปลูกในแต่ละท้องที่ และดินแต่ละชุด จะมีความเหมาะสมกับพันธุ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป การขยายพันธุ์มันสำปะหลังส่วนใหญ่ไม่นิยมขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด เนื่องจากมันสำปะหลังไม่ค่อยติดเมล็ด อีกทั้งการเก็บเมล็ดพันธุ์นั้นลำบาก เนื่องจากเมื่อฝักแก่แล้วจะแตก ทำให้เมล็ดของมันสำปะหลังร่วง และต้องพักตัวประมาณ 2 เดือน จึงจะสามารถนำมาเพาะเป็นต้นกล้า ต้องใช้เวลาในการอนุบาลก่อนจะย้ายลงแปลงปลูก และมักเกิด การผสมข้ามพันธุ์ได้ง่าย การปลูกด้วยเมล็ดจึงจึงนิยมในการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หรือการปรับปรุงพันธุ์เท่านั้น (สถาบันวิจัย และพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2558) ดังนั้นเกษตรกรจึงนิยมขยายพันธุ์มันสำปะหลังด้วยการใช้ท่อนพันธุ์ ซึ่งการเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลังควรคำนึงถึงต้นพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูก จึงจะสามารถเจริญเติบโตได้ดี มีโอกาสในการติดโรคและแมลงน้อย การเตรียมท่อนพันธุ์มีข้อพิจารณา ดังนี้

การตัดท่อนพันธุ์

ลักษณะการสับท่อนพันธุ์โดยวิธีสับตรงหรือสับเฉียง รวมทั้งการใช้มีดหรือใช้เครื่องตัดหญ้าติดใบมีดตัด ไม่ทำให้ผลผลิตที่ได้แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกวิธีและอุปกรณ์ในการสับท่อนพันธุ์จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมของแรงงานและอุปกรณ์ที่มีอยู่

ภาพแสดงการตัดท่อนพันธุ์ด้วยมีด
ภาพแสดงการตัดท่อนพันธุ์ด้วยเครื่องตัดหญ้าติดใบมีด

การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยธาตุอาหารพืช

การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารชีวภาพหรือฮอร์โมนเร่งรากไม่ทำให้ผลผลิตและปริมาณแป้งในหัวแตกต่างกัน จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนในขั้นตอนนี้ แต่หากต้นพันธุ์ที่นำมาใช้ปลูกเป็นต้นเก่า เก็บรักษาไว้นานมากกว่า 1 เดือน แนะนำให้แช่ท่อนพันธุ์ในน้ำเปล่านานประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วนำขึ้นมาบ่มไว้นาน 1 คืน จะช่วยให้ความงอกและความอยู่รอดสูงขึ้นแตกต่างจากการไม่แช่น้ำอย่างเด่นชัด โดยไม่จำเป็นต้องแช่ฮอร์โมนหรือปุ๋ยชีวภาพแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวสิ้นเปลืองเวลาและไม่สะดวกในทางปฏิบัติ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการเลือกใช้ต้นพันธุ์ที่ตัดสดหรือตัดทิ้งไว้ไม่เกิน 15 วันมาปลูก โดยการวางแผนช่วงเวลาตัดต้นพันธุ์ให้สอดคล้องกับแผนการปลูก

ในกรณีที่พื้นที่ปลูกเป็นดินด่าง (pH > 7.0) หรือต้นพันธุ์ที่จัดหามาปลูกได้มาจากพื้นที่ที่ขาดธาตุสังกะสี (Zn) เมื่อนำต้นพันธุ์จากแหล่งที่ขาดธาตุอาหารดังกล่าวมาปลูก ต้นมันสำปะหลังมักแสดงอาการขาดธาตุสังกะสีตั้งแต่ต้นยังเล็ก วิธีการแก้ไขทำได้โดยการแช่ในสารละลายซิงค์ซัลเฟต (ZnSO4) ที่ความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ โดยผสมซิงค์ซัลเฟตในอัตรา 400 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร แช่ท่อนพันธุ์นานประมาณ 10 นาที ทั้งนี้สามารถแช่ไปพร้อมกับสารเคมีป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งได้ หรือหากไม่สะดวกในการแช่ท่อนพันธุ์สามารถฉีดพ่นธาตุอาหารดังกล่าวทางใบโดยผสมซิงค์ซัลเฟตในอัตรา 800 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 2 – 3 ครั้ง ทุก 7 วัน ตั้งแต่มันสำปะหลังเริ่มงอกจนถึง 60 วันหลังปลูก หรือจนกว่ามันสำปะหลังจะไม่แสดงอาการขาดธาตุอาหารดังกล่าว

การแช่ท่อนพันธุ์เพื่อป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง

หากใช้ท่อนพันธุ์ที่มาจากแหล่งที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง หรือในพื้นที่ปลูกโดยรอบพบการระบาดของเพลี้ยแป้งอยู่ก่อนแล้ว ควรแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงก่อนปลูก สารเคมีที่แนะนำและวิธีการใช้ แสดงในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 สารเคมีป้องกันและกำจัดแมลง อัตราการใช้ และระยะเวลาในการแช่ท่อนพันธุ์

สารเคมี อัตรา (กรัม/น้ำ 20 ลิตร) แช่นาน (นาที)
ไทอะมิโทแซม 25% WG 4 5 – 10
อิมิดาโคลพริด 70% WG 4 5 – 10
ไดโนทีฟูแรน 10% WP 40 5 – 10

วิธีการผสมสารเคมีแช่ท่อนพันธุ์ ทำได้โดยการผสมสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งข้างต้นตามอัตราที่แนะนำ แล้วแช่ท่อนพันธุ์นาน 5 – 10 นาที ไม่ควรแช่นานเกิน 10 นาที เนื่องจากอาจทำให้มันสำปะหลังแสดงอาการเป็นพิษจากฤทธิ์ของสารเคมี และทำให้สิ้นเปลืองเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ เมื่อแช่เสร็จสามารถนำไปปลูกได้ทันทีหรืออาจผึ่งลมไว้ให้แห้งก่อนปลูกก็ได้ โดยปกติการปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ ใช้น้ำแช่ท่อนพันธุ์ประมาณ 80 ลิตร เมื่อแช่ท่อนพันธุ์ 3 – 4 ครั้ง น้ำในถังแช่จะลดลง สามารถผสมสารเคมีในอัตราเดิมหรือความเข้มข้นเท่าเดิมเทเพิ่มลงไปในถังแช่ท่อนพันธุ์ได้โดยไม่ทำให้ความเข้มข้นของสารเคมีเปลี่ยนแปลง จะช่วยกำจัดเพลี้ยแป้งที่ติดมากับท่อนพันธุ์ และสารเคมีจะแทรกซึมเข้าไปในท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง หลังจากมันสำปะหลังงอกแล้วสารฆ่าแมลงจะมีฤทธิ์ป้องกันการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้งได้นานประมาณ 1 เดือน

ภาพแสดงการแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีเพื่อป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง

การเก็บรักษาท่อนพันธุ์

ภายหลังตัดต้นพันธุ์ออกจากแปลง ต้องใช้เวลาในการขุดเก็บเกี่ยวผลผลิตและเตรียมพื้นที่เพื่อปลูกใหม่ในฤดูถัดไป อาจต้องใช้เวลามากกว่า 15 วัน หรืออาจต้องรอให้ฝนตกจนดินมีความชื้นเพียงพอสำหรับปลูกซึ่งอาจต้องเก็บรักษาต้นพันธุ์ไว้นานมากกว่า 2 เดือน การยืดอายุการเก็บรักษาต้นพันธุ์ให้ยาวนานขึ้น สามารถปฏิบัติตามวิธีการดังนี้

  1. จัดเตรียมแปลงที่จะใช้เก็บรักษาต้นพันธุ์โดยการไถพรวนดินให้ร่วนซุย และอาจให้น้ำเพื่อให้ดินมีความชื้นสม่ำเสมอ
  2. จัดเรียงต้นพันธุ์โดยให้ส่วนโคนต้นสม่ำเสมอกัน
  3. ตั้งมัดต้นพันธุ์เป็นกองรูปกระโจมประมาณ 20 มัดต่อกอง หรือประมาณ 500 ลำต่อกอง โดยตั้งให้เป็นแถว เว้นช่องว่างหรือทำถนนให้รถบรรทุกสามารถเข้าไปขนต้นพันธุ์ไปปลูกได้โดยสะดวก
  4. ใช้ดินกลบส่วนโคนต้นโดยรอบกองต้นพันธุ์
  5. หากสามารถให้น้ำได้ ให้รดน้ำบริเวณโดยรอบกองต้นพันธุ์ให้ดินมีความชื้นอยู่เสมอ
  6. การกองต้นพันธุ์ควรเลือกกองในสภาพกลางแจ้งจะดีกว่าการกองไว้ในร่ม

การปฏิบัติตามวิธีการข้างต้นสามารถเก็บรักษาต้นพันธุ์ได้นานประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ อย่างไรก็ตามคุณภาพต้นพันธุ์จะเสื่อมไปตามอายุการเก็บรักษาต้นพันธุ์ ดังนั้นเกษตรกรจึงควรทำแปลงสำรองพันธุ์ไว้ใช้เองในพื้นที่เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันแปรของสภาพอากาศ ซึ่งโดยปกติแปลงสำรองพันธุ์ขนาด 1 ไร่ สามารถนำไปปลูกได้ในพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ หรืออัตราส่วน 1 ต่อ 5

ภาพแสดงวิธีการเก็บรักษาต้นพันธุ์ที่ดี

อ้างอิง