ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การใส่ปุ๋ยและปรับปรุงดิน"
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 38: | บรรทัดที่ 38: | ||
ธาตุอาหารที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นธาตุอาหารหลักที่สำคัญของมันสำปะหลัง สัดส่วนของธาตุปุ๋ยหลักจะขึ้นอยู่กับสมบัติดินและผลวิเคราะห์ดิน ชนิดปุ๋ยที่แนะนำประกอบด้วย | ธาตุอาหารที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นธาตุอาหารหลักที่สำคัญของมันสำปะหลัง สัดส่วนของธาตุปุ๋ยหลักจะขึ้นอยู่กับสมบัติดินและผลวิเคราะห์ดิน ชนิดปุ๋ยที่แนะนำประกอบด้วย | ||
* ปุ๋ยสูตร 15-7-18 หรือ 16-8-16 (เรโช 2:1:2 หรือ 2:1:3 หรือ 3:1:2) ขึ้นอยู่กับราคาต่อหน่วยของเนื้อปุ๋ย ใช้กับดินทั่วไปที่มีปริมาณธาตุปุ๋ยต่ำ หรือดินที่มีการปลูกมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน เหมาะสำหรับดินทราย ดินร่วนทราย ดินร่วนเหนียว ฯลฯ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 แนะนำให้ใช้ในดินเหนียวปนกรวด เพราะมีสมบัติตรึงธาตุฟอสฟอรัส (P-fixation) สูง ทำให้ดึงธาตุฟอสฟอรัสไว้กับดิน พืชดึงไปใช้ได้ยาก จึงต้องใส่ธาตุฟอสฟอรัสมาก (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | * ปุ๋ยสูตร 15-7-18 หรือ 16-8-16 (เรโช 2:1:2 หรือ 2:1:3 หรือ 3:1:2) ขึ้นอยู่กับราคาต่อหน่วยของเนื้อปุ๋ย ใช้กับดินทั่วไปที่มีปริมาณธาตุปุ๋ยต่ำ หรือดินที่มีการปลูกมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน เหมาะสำหรับดินทราย ดินร่วนทราย ดินร่วนเหนียว ฯลฯ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 แนะนำให้ใช้ในดินเหนียวปนกรวด เพราะมีสมบัติตรึงธาตุฟอสฟอรัส (P-fixation) สูง ทำให้ดึงธาตุฟอสฟอรัสไว้กับดิน พืชดึงไปใช้ได้ยาก จึงต้องใส่ธาตุฟอสฟอรัสมาก (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556<ref name=":0">มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2556) เทคโนโลยี 52 สัปดาห์ มันสำปะหลัง. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์:กรุงเทพฯ.</ref>) | ||
=== อัตราปุ๋ย === | === อัตราปุ๋ย === | ||
บรรทัดที่ 45: | บรรทัดที่ 45: | ||
* ดินเหนียว ใส่ในอัตรา 30-40 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่ครั้งเดียว | * ดินเหนียว ใส่ในอัตรา 30-40 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่ครั้งเดียว | ||
* ดินร่วนเหนียว ใส่ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่ครั้งเดียว | * ดินร่วนเหนียว ใส่ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่ครั้งเดียว | ||
* ดินทราย ดินร่วน ดินร่วนปนทราย และดินทรายปนดินร่วน ใส่ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | * ดินทราย ดินร่วน ดินร่วนปนทราย และดินทรายปนดินร่วน ใส่ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
=== รูปแบบของปุ๋ยและวิธีการที่ใช้ === | === รูปแบบของปุ๋ยและวิธีการที่ใช้ === | ||
บรรทัดที่ 53: | บรรทัดที่ 53: | ||
* กลุ่มดินเนื้อหยาบ ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อมันสำปะหลังอายุได้ 1-2 เดือน และครั้งที่สองควรทิ้งระยะห่างจากครั้งแรกอย่างน้อย 2 เดือน แต่ไม่ควรใส่ปุ๋ยหลังจากมันสำปะหลังอายุเกิน 4 เดือน เนื่องจากรากมันสำปะหลังจะเปลี่ยนจากรากหาอาหารไปเป็นรากสะสมอาหารทำให้ประสิทธิภาพการดูดใช้ปุ๋ยลดน้อยลง | * กลุ่มดินเนื้อหยาบ ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อมันสำปะหลังอายุได้ 1-2 เดือน และครั้งที่สองควรทิ้งระยะห่างจากครั้งแรกอย่างน้อย 2 เดือน แต่ไม่ควรใส่ปุ๋ยหลังจากมันสำปะหลังอายุเกิน 4 เดือน เนื่องจากรากมันสำปะหลังจะเปลี่ยนจากรากหาอาหารไปเป็นรากสะสมอาหารทำให้ประสิทธิภาพการดูดใช้ปุ๋ยลดน้อยลง | ||
ข้อควรระวังในการใส่ปุ๋ยคือ จะต้องมีการกำจัดวัชพืชก่อนการใส่ปุ๋ยเสมอเพื่อไม่ให้วัชพืชแก่งแย่งปุ๋ยที่ใส่ลงไปจากมันสำปะหลัง ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดการระบาดของวัชพืช (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | ข้อควรระวังในการใส่ปุ๋ยคือ จะต้องมีการกำจัดวัชพืชก่อนการใส่ปุ๋ยเสมอเพื่อไม่ให้วัชพืชแก่งแย่งปุ๋ยที่ใส่ลงไปจากมันสำปะหลัง ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดการระบาดของวัชพืช (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
=== วิธีการใส่ปุ๋ย === | === วิธีการใส่ปุ๋ย === | ||
วิธีการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม ควรใส่ปุ๋ยตรงสันร่อง 2 ข้างลำต้นบริเวณขอบทรงพุ่ม (ขึ้นอยู่กับอายุพืชและขนาดของทรงพุ่ม) โดยการใช้จอบขุดเป็นหลุมขนาดเล็กลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร แล้วใช้ดินกลบ หากไม่กลบอาจทำให้เกิดการสูญเสียปุ๋ยมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์การใส่ปุ๋ยเคมีต้องดำเนินการในขณะที่ดินมีความชื้น และต้องกลบปุ๋ยด้วย การใส่ปุ๋ยรองพื้นมันสำปะหลังไม่ควรทำเพราะรากมันสำปะหลังยังมีปริมาณไม่มากพอที่จะดูดใช้ได้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีฝนตกค่อนข้างมากหลังจากการเสียบท่อนพันธุ์ ส่วนการใส่ปุ๋ยด้านข้างร่องอาจจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน โดยการโรยและไถกลบ แต่ไม่เหมาะสมกับมันสำปะหลังพันธุ์แนะนำที่มีระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 80-100 เซนติเมตร เพราะปลายรากพืชไม่สามารถดูดใช้ปุ๋ยได้ทั่วถึง และหากฝนตกแล้วมีการไหลของน้ำในร่องมันสำปะหลังก็จะทำให้เกิดการสูญเสีย สำหรับการหว่านปุ๋ยไม่แนะนำโดยสิ้นเชิงสำหรับการปลูกมันสำปะหลัง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | วิธีการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม ควรใส่ปุ๋ยตรงสันร่อง 2 ข้างลำต้นบริเวณขอบทรงพุ่ม (ขึ้นอยู่กับอายุพืชและขนาดของทรงพุ่ม) โดยการใช้จอบขุดเป็นหลุมขนาดเล็กลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร แล้วใช้ดินกลบ หากไม่กลบอาจทำให้เกิดการสูญเสียปุ๋ยมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์การใส่ปุ๋ยเคมีต้องดำเนินการในขณะที่ดินมีความชื้น และต้องกลบปุ๋ยด้วย การใส่ปุ๋ยรองพื้นมันสำปะหลังไม่ควรทำเพราะรากมันสำปะหลังยังมีปริมาณไม่มากพอที่จะดูดใช้ได้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีฝนตกค่อนข้างมากหลังจากการเสียบท่อนพันธุ์ ส่วนการใส่ปุ๋ยด้านข้างร่องอาจจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน โดยการโรยและไถกลบ แต่ไม่เหมาะสมกับมันสำปะหลังพันธุ์แนะนำที่มีระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 80-100 เซนติเมตร เพราะปลายรากพืชไม่สามารถดูดใช้ปุ๋ยได้ทั่วถึง และหากฝนตกแล้วมีการไหลของน้ำในร่องมันสำปะหลังก็จะทำให้เกิดการสูญเสีย สำหรับการหว่านปุ๋ยไม่แนะนำโดยสิ้นเชิงสำหรับการปลูกมันสำปะหลัง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
==== วิธีการใช้ปุ๋ยแต่ละชนิดให้กับพืช ==== | ==== วิธีการใช้ปุ๋ยแต่ละชนิดให้กับพืช ==== | ||
บรรทัดที่ 68: | บรรทัดที่ 68: | ||
* ถังหยอดปุ๋ยชนิดมอเตอร์ไฟฟ้า ใช้พ่วงกับแบตเตอรี่รถไถ มีสวิทปิดเปิด ใช้วางบนหางไถ มีเกลียวหมุน หยอดปุ๋ยลงร่องที่ปลูกมันสำปะหลังจากนั้นใบไถจะตามกลบปุ๋ย ทำให้ปุ๋ยอยู่ในร่องที่เป๋นแนวปลูกและอยู่ใต้ผิวดิน เป็นการประหยัดปุ๋ย และทำให้ปุ๋ยไม่ระเหิดจากการโดนแดดเผาจึงทำให้มันสำปะหลังได้รับปุ๋ยมากยิ่งขึ้น เกิดการสูญเสียน้อย เพราะปุ๋ยอยู่ใต้ผิวดิน[[ไฟล์:Image53.png|thumb|ถังหยอดปุ๋ยชนิดมอเตอร์ไฟฟ้า ภาพจากไร่ปรินซ์โตน ของคุณสุรพันธุ์ (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2564)]] | * ถังหยอดปุ๋ยชนิดมอเตอร์ไฟฟ้า ใช้พ่วงกับแบตเตอรี่รถไถ มีสวิทปิดเปิด ใช้วางบนหางไถ มีเกลียวหมุน หยอดปุ๋ยลงร่องที่ปลูกมันสำปะหลังจากนั้นใบไถจะตามกลบปุ๋ย ทำให้ปุ๋ยอยู่ในร่องที่เป๋นแนวปลูกและอยู่ใต้ผิวดิน เป็นการประหยัดปุ๋ย และทำให้ปุ๋ยไม่ระเหิดจากการโดนแดดเผาจึงทำให้มันสำปะหลังได้รับปุ๋ยมากยิ่งขึ้น เกิดการสูญเสียน้อย เพราะปุ๋ยอยู่ใต้ผิวดิน[[ไฟล์:Image53.png|thumb|ถังหยอดปุ๋ยชนิดมอเตอร์ไฟฟ้า ภาพจากไร่ปรินซ์โตน ของคุณสุรพันธุ์ (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2564)]] | ||
* ถังหยอดปุ๋ยแบบอนาล็อค คือไม่ใช้ไฟฟ้า จะมีโซ่โยงมถึงลูกกลิ้งเวลารถไถวิ่งลูกกลิ้งจะหมุนลากโซ่ ส่งกำลังไปหมุนเกลียวเฟืองที่อยู่ใต้ถังปุ๋ย ปุ๋ยเม็ดจะหยอดลงมาตามร่องที่รถไถวิ่ง สามารถปรับปริมาณได้มากน้อย ที่ตัวปรับใต้ถัง หลังจากปุ๋ยลงดินจะโดนใบไถกลบปุ๋ยตามหลังเหมือนกัน ทำให้ปุ๋ยอยู่ใต้ดิน[[ไฟล์:Image69.png|thumb|ถังหยอดปุ๋ยแบบอนาล็อค (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2554)]] | * ถังหยอดปุ๋ยแบบอนาล็อค คือไม่ใช้ไฟฟ้า จะมีโซ่โยงมถึงลูกกลิ้งเวลารถไถวิ่งลูกกลิ้งจะหมุนลากโซ่ ส่งกำลังไปหมุนเกลียวเฟืองที่อยู่ใต้ถังปุ๋ย ปุ๋ยเม็ดจะหยอดลงมาตามร่องที่รถไถวิ่ง สามารถปรับปริมาณได้มากน้อย ที่ตัวปรับใต้ถัง หลังจากปุ๋ยลงดินจะโดนใบไถกลบปุ๋ยตามหลังเหมือนกัน ทำให้ปุ๋ยอยู่ใต้ดิน[[ไฟล์:Image69.png|thumb|ถังหยอดปุ๋ยแบบอนาล็อค (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2554)]] | ||
* ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำทางใบโดยใช้แรงงานคนเดินพ่นตามร่องมันสำปะหลังและโดยใช้โดรน ช่วยให้มันสำปะหลังเจริญเติบโตได้เร็วคลุมหญ้าได้ไว มีใบกว้างสามารถสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้น และวิธีการพ่นปุ๋ยโดยใช้โดรนฉีดพ่นตามพื้นที่ต่างๆในแปลงมันสำปะหลัง (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2554)[[ไฟล์:Image66.png|thumb|อุปกรณ์และวิธีการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบโดยใช้แรงงานคน (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2554)]][[ไฟล์:Image33.png|thumb|ภาพการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบโดยใช้โดรนฉีดพ่น ]] | * ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำทางใบโดยใช้แรงงานคนเดินพ่นตามร่องมันสำปะหลังและโดยใช้โดรน ช่วยให้มันสำปะหลังเจริญเติบโตได้เร็วคลุมหญ้าได้ไว มีใบกว้างสามารถสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้น และวิธีการพ่นปุ๋ยโดยใช้โดรนฉีดพ่นตามพื้นที่ต่างๆในแปลงมันสำปะหลัง (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2554)<ref>ฟาร์ฒเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร. 2554. มันสำปะหลังและการปลูกมันสำปะหลัง. ที่มา: <nowiki>https://www.farmkaset.org/html5/contents.aspx?con_id=00434</nowiki>. วันที่สืบค้น 16 กรกฎาคม 2564.</ref>[[ไฟล์:Image66.png|thumb|อุปกรณ์และวิธีการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบโดยใช้แรงงานคน (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2554)]][[ไฟล์:Image33.png|thumb|ภาพการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบโดยใช้โดรนฉีดพ่น ]] | ||
=== วิธีการเลือกซื้อปุ๋ย === | === วิธีการเลือกซื้อปุ๋ย === | ||
บรรทัดที่ 79: | บรรทัดที่ 79: | ||
# น้ำหนักสุทธิหรือขนาดบรรจุของปุ๋ยเคมีตามระบบเมตริก | # น้ำหนักสุทธิหรือขนาดบรรจุของปุ๋ยเคมีตามระบบเมตริก | ||
# ชื่อผู้ผลิต และที่ตั้งสำนักงานและสถานที่ผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการค้า | # ชื่อผู้ผลิต และที่ตั้งสำนักงานและสถานที่ผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการค้า | ||
# ชื่อทางเคมีและปริมาณของสารเป็นพิษที่อยู่ในปุ๋ยเคมี (ทัศนีย์ และ ประทีป. 2552) | # ชื่อทางเคมีและปริมาณของสารเป็นพิษที่อยู่ในปุ๋ยเคมี (ทัศนีย์ และ ประทีป. 2552)<ref name=":1">ทัศนีย์ อัตตะนันทน์ และ ประทีป วีระพัฒนนิรันดร์. 2552. ธรรมชาติของดินและปุ๋ย. ครั้งที่ 7 หจก. กรครีเอชั่น. กรุงเทพฯ.</ref> | ||
* ตรวจสอบเลขทะเบียนของปุ๋ยที่ขึ้นกับกรมวิชาการเกษตรด้วยแอพพลิเคชั่นของกรมวิชาการเกษตร บนช่องทางเครื่องมือสื่อสาร | * ตรวจสอบเลขทะเบียนของปุ๋ยที่ขึ้นกับกรมวิชาการเกษตรด้วยแอพพลิเคชั่นของกรมวิชาการเกษตร บนช่องทางเครื่องมือสื่อสาร | ||
บรรทัดที่ 161: | บรรทัดที่ 161: | ||
<nowiki>*</nowiki> ถ้า“ฝ้าขาว” อ่านค่าได้ว่ามีปริมาณ โพแทสเซี่ยมปานกลาง | <nowiki>*</nowiki> ถ้า“ฝ้าขาว” อ่านค่าได้ว่ามีปริมาณ โพแทสเซี่ยมปานกลาง | ||
<nowiki>*</nowiki> ถ้าไม่มีทั้ง“ตะกอน” และ “ฝ้าขาว” อ่านค่าได้ว่ามีปริมาณ โพแทสเซียมต่ำ (ทัศนีย์ และ ประทีป. 2558) | <nowiki>*</nowiki> ถ้าไม่มีทั้ง“ตะกอน” และ “ฝ้าขาว” อ่านค่าได้ว่ามีปริมาณ โพแทสเซียมต่ำ (ทัศนีย์ และ ประทีป. 2558)<ref name=":1" /> | ||
== '''การใส่ปุ๋ยตามเนื้อดินจากการประเมินอย่างง่าย''' == | == '''การใส่ปุ๋ยตามเนื้อดินจากการประเมินอย่างง่าย''' == | ||
บรรทัดที่ 214: | บรรทัดที่ 214: | ||
หมายเหตุ สูตรและอัตราการใส่ปุ๋ยเคมี/อินทรีย์ควรใส่ตามค่าวิเคราะห์ดิน | หมายเหตุ สูตรและอัตราการใส่ปุ๋ยเคมี/อินทรีย์ควรใส่ตามค่าวิเคราะห์ดิน | ||
ที่มา: ดัดแปลงจากคำแนะนำการใช้ปุ๋ยกับพืชเศรษฐกิจ (กรมวิชาการเกษตร, 2553) | ที่มา: ดัดแปลงจากคำแนะนำการใช้ปุ๋ยกับพืชเศรษฐกิจ (กรมวิชาการเกษตร, 2553)<ref>กรมวิชาการเกษตร. 2553. คำแนะนำการใช้ปุ๋ยกับพืชเศรษฐกิจ. กรมวิชาการเกษตร, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 122 หน้า.</ref> | ||
== '''การใส่ปุ๋ยและปรับปรุงดินตามค่าวิเคราะห์ดิน''' == | == '''การใส่ปุ๋ยและปรับปรุงดินตามค่าวิเคราะห์ดิน''' == | ||
บรรทัดที่ 230: | บรรทัดที่ 230: | ||
=== ปริมาณอินทรียวัตถุ === | === ปริมาณอินทรียวัตถุ === | ||
* '''ระดับต่ำมาก (<1.0%)''' ควรมีการจัดการเพิ่มเติมอินทรียวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกโดยเฉพาะมูลไก่แกลบในอัตรา 500-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ควรพิจารณาเรื่องการปรับลดปุ๋ยไนโตรเจนลงบ้างเพื่อลดอาการเฝือใบ การใส่กากแป้งจากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังในระยะยาวอาจส่งผลต่อการลดลงของค่าพีเอชดิน ซึ่งต้องมีการทดลองว่ามีผลต่อมันสำปะหลังอย่างไร การใช้กากแป้งที่มี C:N Ratio กว้างในปริมาณมาก ต้องระวังการเกิด N-immobilization และอาจทำให้พืชขาด N ได้ โดยเฉพาะในระยะแรก ๆ ของการเติบโตของมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่จะมีผลต่อการให้ผลผลิตที่สำคัญมาก และการไถกลบเศษเหลือของพืชลงไปในดินอย่างสม่ำเสมอ หรือการไถกลบพืชปุ๋ยสดจะช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | * '''ระดับต่ำมาก (<1.0%)''' ควรมีการจัดการเพิ่มเติมอินทรียวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกโดยเฉพาะมูลไก่แกลบในอัตรา 500-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ควรพิจารณาเรื่องการปรับลดปุ๋ยไนโตรเจนลงบ้างเพื่อลดอาการเฝือใบ การใส่กากแป้งจากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังในระยะยาวอาจส่งผลต่อการลดลงของค่าพีเอชดิน ซึ่งต้องมีการทดลองว่ามีผลต่อมันสำปะหลังอย่างไร การใช้กากแป้งที่มี C:N Ratio กว้างในปริมาณมาก ต้องระวังการเกิด N-immobilization และอาจทำให้พืชขาด N ได้ โดยเฉพาะในระยะแรก ๆ ของการเติบโตของมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่จะมีผลต่อการให้ผลผลิตที่สำคัญมาก และการไถกลบเศษเหลือของพืชลงไปในดินอย่างสม่ำเสมอ หรือการไถกลบพืชปุ๋ยสดจะช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
[[ไฟล์:ปุ๋ยพืชสด.png|thumb|การปลูกถั่วพร้าเป็นพืชปุ๋ยสดเพื่อเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุ]] | [[ไฟล์:ปุ๋ยพืชสด.png|thumb|การปลูกถั่วพร้าเป็นพืชปุ๋ยสดเพื่อเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุ]] | ||
=== ค่าความเค็ม === | === ค่าความเค็ม === | ||
มันสำปะหลังส่วนใหญ่จะปลูกในที่ดอน ดังนั้น จึงไม่ค่อยพบปัญหา ยกเว้นในบางบริเวณที่ปลูกอยู่ระหว่างรอยต่อของที่นาที่เป็นดินเค็มกับที่ดอน ซึ่งแก้ไขได้โดยการเพิ่มเติมวัสดุอินทรีย์ เช่น แกลบสด หรือเศษเหลือของพืชแล้วไถกลบ ควรหลีกเลี่ยงการใช้มูลไก่สด หรือมูลไก่แกลบ เนื่องจากเป็นวัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์ที่มีค่าความเค็มค่อนข้างสูง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | มันสำปะหลังส่วนใหญ่จะปลูกในที่ดอน ดังนั้น จึงไม่ค่อยพบปัญหา ยกเว้นในบางบริเวณที่ปลูกอยู่ระหว่างรอยต่อของที่นาที่เป็นดินเค็มกับที่ดอน ซึ่งแก้ไขได้โดยการเพิ่มเติมวัสดุอินทรีย์ เช่น แกลบสด หรือเศษเหลือของพืชแล้วไถกลบ ควรหลีกเลี่ยงการใช้มูลไก่สด หรือมูลไก่แกลบ เนื่องจากเป็นวัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์ที่มีค่าความเค็มค่อนข้างสูง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
=== ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ === | === ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ === | ||
บรรทัดที่ 240: | บรรทัดที่ 240: | ||
* '''ระดับต่ำมากถึงค่อนข้างต่ำ (<10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' ควรใช้ปุ๋ยหลักที่เป็นสูตรเสมอ เช่น ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 หรือในเรโช 1:1:1 ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ | * '''ระดับต่ำมากถึงค่อนข้างต่ำ (<10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' ควรใช้ปุ๋ยหลักที่เป็นสูตรเสมอ เช่น ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 หรือในเรโช 1:1:1 ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ | ||
* '''ระดับปานกลางถึงระดับค่อนข้างสูง (10-25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' ควรใช้ปุ๋ยหลักที่มีเรโชปุ๋ยประมาณ 2:1:2 หรือ 2:1:3 เช่นปุ๋ยสูตร 15-7-18 ฯลฯ | * '''ระดับปานกลางถึงระดับค่อนข้างสูง (10-25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' ควรใช้ปุ๋ยหลักที่มีเรโชปุ๋ยประมาณ 2:1:2 หรือ 2:1:3 เช่นปุ๋ยสูตร 15-7-18 ฯลฯ | ||
* '''ระดับสูงถึงสูงมาก (>25''' '''มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' ใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่มีฟอสฟอรัสในรูปปุ๋ยเดี่ยวไนโตรเจน โพแทสเซียม หรือปุ๋ยผสม (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | * '''ระดับสูงถึงสูงมาก (>25''' '''มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' ใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่มีฟอสฟอรัสในรูปปุ๋ยเดี่ยวไนโตรเจน โพแทสเซียม หรือปุ๋ยผสม (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
=== โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ === | === โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ === | ||
บรรทัดที่ 248: | บรรทัดที่ 248: | ||
* '''ระดับปานกลาง (60-90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' ควรใส่ปุ๋ยที่มีเรโชปุ๋ย ประมาณ 2:1:2 หรือ 2:1:3 เช่น ปุ๋ยสูตร 15-7-18 ฯลฯ | * '''ระดับปานกลาง (60-90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' ควรใส่ปุ๋ยที่มีเรโชปุ๋ย ประมาณ 2:1:2 หรือ 2:1:3 เช่น ปุ๋ยสูตร 15-7-18 ฯลฯ | ||
* '''ระดับสูง (>90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' เนื่องจากมีโพแทสเซียมสูงอยู่แล้ว แนะนำให้ใส่ปุ๋ยสูตรที่มีเรโช ประมาณ 1:1:0 เช่นสูตร 16-20-0 หรือปุ๋ยที่มีเรโช 2:2:1 เช่นปุ๋ยสูตร 16-16-8 ฯลฯ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | * '''ระดับสูง (>90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)''' เนื่องจากมีโพแทสเซียมสูงอยู่แล้ว แนะนำให้ใส่ปุ๋ยสูตรที่มีเรโช ประมาณ 1:1:0 เช่นสูตร 16-20-0 หรือปุ๋ยที่มีเรโช 2:2:1 เช่นปุ๋ยสูตร 16-16-8 ฯลฯ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
=== ธาตุอาหารรอง === | === ธาตุอาหารรอง === | ||
บรรทัดที่ 255: | บรรทัดที่ 255: | ||
ทั้ง 3 ธาตุจะส่งผลต่อผลผลิตมันสำปะหลังเมื่อพบในดินที่ระดับต่ำถึงต่ำมาก อย่างไรตาม หากมีการปรับปรุงดินโดยใช้หินปูนบด หรือสารปูนไลม์อื่น ๆ ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลเซียม ยิปซัมแก้ปัญหาการขาดแคลเซียม และกำมะถัน โดโลไมต์แก้ปัญหาการขาดแคลเซียม และแมกนีเซียม ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกหลาย ๆ ชนิด แก้ปัญหาการขาดแมกนีเซียม และกำมะถัน ทั้งนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ธาตุทั้ง 3 เพิ่มเติม โอกาสที่พืชจะขาดแคลเซียมและแมกนีเซียมได้จะเป็นกรณีของดินกรดจัด และดินทราย | ทั้ง 3 ธาตุจะส่งผลต่อผลผลิตมันสำปะหลังเมื่อพบในดินที่ระดับต่ำถึงต่ำมาก อย่างไรตาม หากมีการปรับปรุงดินโดยใช้หินปูนบด หรือสารปูนไลม์อื่น ๆ ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลเซียม ยิปซัมแก้ปัญหาการขาดแคลเซียม และกำมะถัน โดโลไมต์แก้ปัญหาการขาดแคลเซียม และแมกนีเซียม ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกหลาย ๆ ชนิด แก้ปัญหาการขาดแมกนีเซียม และกำมะถัน ทั้งนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ธาตุทั้ง 3 เพิ่มเติม โอกาสที่พืชจะขาดแคลเซียมและแมกนีเซียมได้จะเป็นกรณีของดินกรดจัด และดินทราย | ||
ในกรณีที่ดินขาดธาตุอาหารรอง (Ca, Mg และ S) แนะนำให้ใช้ปุ๋ยธาตุอาหารรอง (Ca, Mg, S) เช่น ฟอสโฟยิปซัม (CaSO<sub>4</sub>.2H<sub>2</sub>O+P) ยิปซัม (CaSO<sub>4</sub>.2H<sub>2</sub>O) โดโลไมต์(CaCO<sub>3</sub>.MgCO<sub>3</sub>) ซัล-โป-แม๊กซ์ (MgSO<sub>4</sub>.K<sub>2</sub>SO<sub>4</sub>) โดยการใช้ฟอสโฟยิปซัม ยิปซัม และ โดโลไมต์ จะช่วยปรับปรุงสมบัติของดินที่มีปัญหาทางฟิสิกส์ไปด้วย เช่น ดินที่มีอัตราการแทรกซึมน้ำต่ำ ดินที่เกิดแผ่นแข็งปิดผิว กล่าวคือ มีคุณสมบัติเป็นทั้งปุ๋ยธาตุอาหารรอง และสารปรับปรุงดินไปพร้อม ๆ กัน ฯลฯ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | ในกรณีที่ดินขาดธาตุอาหารรอง (Ca, Mg และ S) แนะนำให้ใช้ปุ๋ยธาตุอาหารรอง (Ca, Mg, S) เช่น ฟอสโฟยิปซัม (CaSO<sub>4</sub>.2H<sub>2</sub>O+P) ยิปซัม (CaSO<sub>4</sub>.2H<sub>2</sub>O) โดโลไมต์(CaCO<sub>3</sub>.MgCO<sub>3</sub>) ซัล-โป-แม๊กซ์ (MgSO<sub>4</sub>.K<sub>2</sub>SO<sub>4</sub>) โดยการใช้ฟอสโฟยิปซัม ยิปซัม และ โดโลไมต์ จะช่วยปรับปรุงสมบัติของดินที่มีปัญหาทางฟิสิกส์ไปด้วย เช่น ดินที่มีอัตราการแทรกซึมน้ำต่ำ ดินที่เกิดแผ่นแข็งปิดผิว กล่าวคือ มีคุณสมบัติเป็นทั้งปุ๋ยธาตุอาหารรอง และสารปรับปรุงดินไปพร้อม ๆ กัน ฯลฯ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
=== ธาตุอาหารเสริม === | === ธาตุอาหารเสริม === | ||
โบรอนเป็นธาตุอาหารเสริมที่มันสำปะหลังต้องการในปริมาณน้อยมาก และไม่ค่อยพบรายงานว่ามีอาการขาดเกิดขึ้นในแปลงปลูกมันสำปะหลัง สำหรับธาตุทองแดง แมงกานีส และเหล็ก โดยทั่วไปไม่ค่อยพบอาการขาดในประเทศไทยโดยเฉพาะในดินที่มีพีเอชเป็นกรด ปัญหาที่พบมากที่สุดสำหรับมันสำปะหลังที่ปลูกในประเทศไทยก็คือ การขาดธาตุสังกะสีโดยเฉพาะเมื่อปลูกในดินทรายจัด ดินด่าง หรือพื้นที่ดินที่ปลูกมันสำปะหลังต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน หรือมีการใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง การขาดสังกะสีมีผลทำให้มันสำปะหลังยืดต้นช้า พบแถบสีขาว หรือเหลืองบนใบอ่อน ใบอาจย่นหรือเปลี่ยนรูปร่าง อาจพบจุดแผลเซลล์ตายในใบล่าง และอาจรุนแรงทำให้ต้นตาย ส่งผลถึงความอยู่รอดและผลผลิตมันสำปะหลัง แก้ไขโดยการฉีดพ่นปุ๋ยซิงค์ซัลเฟตเฮปตะไฮเดรต หรือซิงค์ซัลเฟตโมโนไฮเดรตทางใบที่อัตรา 0.8 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทางใบเมื่อมันสำปะหลังอายุ 1, 2 และ 3 เดือนหลังปลูก หรือชุบท่อนพันธุ์ก่อนปลูกด้วยธาตุสังกะสี (ซิงค์ซัลเฟตเฮปตะไฮเดรต หรือซิงค์ซัลเฟตโมโนไฮเดรต) ที่ละลายน้ำในอัตรา 0.4 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เป็นเวลา 15 นาที (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) | โบรอนเป็นธาตุอาหารเสริมที่มันสำปะหลังต้องการในปริมาณน้อยมาก และไม่ค่อยพบรายงานว่ามีอาการขาดเกิดขึ้นในแปลงปลูกมันสำปะหลัง สำหรับธาตุทองแดง แมงกานีส และเหล็ก โดยทั่วไปไม่ค่อยพบอาการขาดในประเทศไทยโดยเฉพาะในดินที่มีพีเอชเป็นกรด ปัญหาที่พบมากที่สุดสำหรับมันสำปะหลังที่ปลูกในประเทศไทยก็คือ การขาดธาตุสังกะสีโดยเฉพาะเมื่อปลูกในดินทรายจัด ดินด่าง หรือพื้นที่ดินที่ปลูกมันสำปะหลังต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน หรือมีการใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง การขาดสังกะสีมีผลทำให้มันสำปะหลังยืดต้นช้า พบแถบสีขาว หรือเหลืองบนใบอ่อน ใบอาจย่นหรือเปลี่ยนรูปร่าง อาจพบจุดแผลเซลล์ตายในใบล่าง และอาจรุนแรงทำให้ต้นตาย ส่งผลถึงความอยู่รอดและผลผลิตมันสำปะหลัง แก้ไขโดยการฉีดพ่นปุ๋ยซิงค์ซัลเฟตเฮปตะไฮเดรต หรือซิงค์ซัลเฟตโมโนไฮเดรตทางใบที่อัตรา 0.8 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทางใบเมื่อมันสำปะหลังอายุ 1, 2 และ 3 เดือนหลังปลูก หรือชุบท่อนพันธุ์ก่อนปลูกด้วยธาตุสังกะสี (ซิงค์ซัลเฟตเฮปตะไฮเดรต หรือซิงค์ซัลเฟตโมโนไฮเดรต) ที่ละลายน้ำในอัตรา 0.4 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เป็นเวลา 15 นาที (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)<ref name=":0" /> | ||
[[ไฟล์:ขาดธาตุ.png|thumb|สภาพของต้นมันสำปะหลังที่ขาดธาตุสังกะสี]] | [[ไฟล์:ขาดธาตุ.png|thumb|สภาพของต้นมันสำปะหลังที่ขาดธาตุสังกะสี]] | ||
[[ไฟล์:สภาพแปลงมัน.png|thumb|สภาพแปลงมันสำปะหลังที่ขาดธาตุสังกะสี]] | [[ไฟล์:สภาพแปลงมัน.png|thumb|สภาพแปลงมันสำปะหลังที่ขาดธาตุสังกะสี]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 06:18, 2 ธันวาคม 2564
พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เนื่องจากอินทรียวัตถุ และธาตุอาหรภายในดินต่ำ จึงส่งผลให้ผลผลิตมันสำปะหลังต่ำตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องมีปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์พร้อมสำหรับการปลูกมันสำปะหลัง และใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มธาตุอาหารช่วยในกรเจริญเติบโตแก่มันสำปะหลัง องค์การอาหารและเกษตรแห่งประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ได้มีกรทดลองเรื่องปุ๋ยเคมีสำหรับมันสำปะหลังเมื่อปี พ.ศ.2523 – 2533 พบว่ามันสำปหลังตอบสนองกับปุ๋ยไนโตรเจน (N) เป็นส่วนใหญ่ ตามด้วยโพแทสเซียม (K) และฟอสฟอรัส (F) (Reinhardt Howeler and Tin Maung Aye, 2015)
หลักการพิจารณาการใส่ปุ๋ยมันสำปะหลัง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
ชนิดปุ๋ย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
โดยทั่วไปมันสำปะหลังต้องการธาตุปุ๋ยทั้ง 3 ชนิด ซึ่งได้แก่
ไนโตรเจน (N)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ในสภาพดินเกือบทุกชนิด การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปริมาณ 12.8 – 19.2 กก./ไร่ ช่วยเพิ่มผลผลิตให้แก่มันสำปะหลังได้ สามารถใส่ปุ๋ยครั้งเดียวตอนปลูก หรือ 30 วันหลังจากการปลูก
- ในสภาพดินที่เป็นดินทราย ระบายน้ำได้ดี ควรมีการแบ่งการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเป็น 2 ครั้ง คือ ใส่ครั้งแรกครึ่งหนึ่งพร้อมการปลูก ครั้งที่ 2 เมื่อมันสำปะหลังมีอายุครบ 1 – 2 เดือน หรือ แบ่งใส่ 3 ครั้ง โดยครั้งแรกใช้ 1/3 ของจำนวนปุ๋ยไนโตรเจนทั้งหมดที่ใช้สำหรับการปลูก ครั้งที่ 2 ใช้ 1/3 เมื่อมันสำปะหลังอายุครบ 30 วัน และครั้งที่ 3 ใช้อีก 1/3 เมื่ออายุครบ 60 วัน
ข้อควรระวัง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ปุ๋ยไนโตรเจนละลายได้ดีในสารละลายในดิน ควรใช้จอบขุดร่องข้างๆ สำหรับใส่ปุ๋ยจากนั้นใช้ดินกลบ ไม่ควรปล่อยให้ปุ๋ยไนโตรเจนทิ้งค้างอยู่บนผิวดิน เนื่องจากปุ๋ยส่วนหนึ่งจะระเหย หรือถูกน้ำชะล้างไป
ฟอสฟอรัส (P)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
มันสำปะหลังสามารถเติบโตได้ดีในสภาพดินที่มีปริมาณฟอสฟอรัสต่ำ ซึ่งการขาดฟอสฟอรัสไม่ใช่ปัญหาหลักของการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง ซึ่งการตอบสนองต่อปุ๋ยฟอสฟอรัสไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดิน ยังขึ้นอยู่กับปริมาณไมโคไรซาในดิน และพันธุ์มันสำปะหลังด้วย
การใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัส (P)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- มันสำปะหลังสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีฟอสฟอรัสต่ำ
- ในดินที่ขาดปริมาณฟอสฟอรัสอย่างรุนแรง มีปริมาณฟอสฟอรัสที่พืชสามารถนำไปใช้ได้น้อยกว่า 4 พีพีเอ็ม (ppm) ซึ่งมันสำปะหลังจะตอบสนองต่อปุ๋ยฟอสฟอรัสที่ใส่ประมาณ 16-32 กก. P2O2/ไร่ ในช่วงแรก แต่หลังจาก 1 – 2 ปีแรกควรลดอัตราลงเป็น 6.4 – 8 กก. P2O2/ไร่ เนื่องจากจะมีปริมาณฟอสฟอรัสค้างอยู่ในดิน
- ปุ๋ยฟอสฟอรัสที่ดีจะละลายน้ำได้ดี เช่น ซิงเกิ้ล - หรือ ทริปเปิ้ล – ซุปเปอร์ฟอสเฟต และโมโน – หรือ ได – แอมโมเนียมฟอสเฟต (ซึ่งมี N ประกอบด้วย) ควรใส่โรยเป็นแถบใกล้ๆ ท่อนพันธุ์ หรือต้นมันสำปะหลัง จากนั้นพรวนดินกลบ
- ปุ๋ยฟอสฟอรัสที่ละลายได้น้อยเรียกว่า เบสิคสะแลค วิธีใช้จะต้องหว่านบนแปลงให้ถั่ว จากนั้นไถคลุกเคล้าลงไปในดินก่อนปลูกมันสำปะหลัง แหล่งปุ๋ยชนิดนี้จะมีแคลเซียม (Ca) ปริมาณมาก จะช่วยลดความเป็นกรดของดินลง (เพิ่มค่า pH)
- ควรใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสทั้งหมดครั้งเดียวในขณะที่ปลูก หรือหลังจากปลูกมันสำปะหลังแล้ว 30 วัน เนื่องจากการแบ่งใส่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
โพแทสเซียม (K)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การใช้ปุ๋ยโพแทสเซียมช่วยเพิ่มปริมาณผลผลิต และปริมาณการสะสมของแป้งในหัวมันสำปะหลัง โดยทั่วไปปริมาณแป้งจะสะสมเพิ่มขึ้นเมื่อใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมจนถึงระดับ 12.8 กก. K2O/ไร่ จากนั้นปริมาณแป้งจะลดลงเมื่อใช้อัตราสูงขึ้นไปกว่านี้
การใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมจะลดปริมาณไซยาไนด์หัวมันสำปะหลัง อีกทั้งช่วยเพิ่มต้านทานโรค และแมลง ปริมาณโพแทสเซียมที่เพียงพอ ยังช่วยในการเจริญเติบโตของลำต้น และคุณภาพของท่อนพันธุ์ด้วย อาการขาดแคลนปุ๋ยโพแทสเซียมมักจะเกิดในดินที่มีเนื้อโปร่งบาง เช่นดินร่วนทราย ดินทราย
การใช้ปุ๋ยโพแทสเซียม (K)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใส่โพแทสเซียมที่เหมาะสมที่สุดคือใส่ในขั้นตอนการปลูก หรือหลังจากนั้น 30 วัน โดยโรยเป็นแถบข้างท่อนพันธุ์ หรือต้นมันสำปะหลัง จากนั้นพรวนดินกลบ
- การป้องกันไม่ให้ปุ๋ยโพแทสเซียมหมดไป แนะนำให้ใส่ในปริมาณ 12.8 – 19.2 กก. K2O/ไร่ เพื่อชดเชยปุ๋ยโพแทสเซียมที่มันสำปะหลังนำไปผลิตเป็นหัว
ธาตุอาหารที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นธาตุอาหารหลักที่สำคัญของมันสำปะหลัง สัดส่วนของธาตุปุ๋ยหลักจะขึ้นอยู่กับสมบัติดินและผลวิเคราะห์ดิน ชนิดปุ๋ยที่แนะนำประกอบด้วย
- ปุ๋ยสูตร 15-7-18 หรือ 16-8-16 (เรโช 2:1:2 หรือ 2:1:3 หรือ 3:1:2) ขึ้นอยู่กับราคาต่อหน่วยของเนื้อปุ๋ย ใช้กับดินทั่วไปที่มีปริมาณธาตุปุ๋ยต่ำ หรือดินที่มีการปลูกมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน เหมาะสำหรับดินทราย ดินร่วนทราย ดินร่วนเหนียว ฯลฯ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 แนะนำให้ใช้ในดินเหนียวปนกรวด เพราะมีสมบัติตรึงธาตุฟอสฟอรัส (P-fixation) สูง ทำให้ดึงธาตุฟอสฟอรัสไว้กับดิน พืชดึงไปใช้ได้ยาก จึงต้องใส่ธาตุฟอสฟอรัสมาก (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556[1])
อัตราปุ๋ย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
อัตราปุ๋ยที่แนะนำโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสมบัติดิน และพันธุ์มันสำปะหลัง พันธุ์ที่ตอบสนองต่อปุ๋ยในอัตราสูงได้ดี ได้แก่ พันธุ์ห้วยบง 80 ระยอง 5 ระยอง 7 ระยอง 9 และระยอง 11 อัตราที่แนะนำส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 30-100 กิโลกรัมต่อไร่ หากเป็นการใส่ในอัตราสูงเช่น 100 กิโลกรัมต่อไร่ ควรมีการแบ่งใส่เพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียปุ๋ยโดยการชะละลายออกจากเขตรากมันสำปะหลังเมื่อมีฝนตกหนัก โดยปกติหากมีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมด้วย ในอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ ควรลดปริมาณปุ๋ยเคมีลงมาครึ่งหนึ่งของอัตราที่ใส่ปุ๋ยเคมีชนิดเดียว รายละเอียดอัตราปุ๋ยตามลักษณะดิน มีดังนี้
- ดินเหนียว ใส่ในอัตรา 30-40 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่ครั้งเดียว
- ดินร่วนเหนียว ใส่ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่ครั้งเดียว
- ดินทราย ดินร่วน ดินร่วนปนทราย และดินทรายปนดินร่วน ใส่ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
รูปแบบของปุ๋ยและวิธีการที่ใช้[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การใส่ปุ๋ยมันสำปะหลังมีระยะเวลาการใส่ดังนี้
- กลุ่มดินเนื้อปานกลางและเนื้อละเอียด ควรใส่ครั้งเดียว เมื่อมันสำปะหลังอายุประมาณ 1-2 เดือนหลังปลูก ให้พิจารณาจากขนาดของทรงพุ่ม โดยควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของทรงพุ่มประมาณ 25-30 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความชื้น และการเตรียมดินว่ามีผลทำให้การเจริญเติบโตรวดเร็วเพียงใด
- กลุ่มดินเนื้อหยาบ ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อมันสำปะหลังอายุได้ 1-2 เดือน และครั้งที่สองควรทิ้งระยะห่างจากครั้งแรกอย่างน้อย 2 เดือน แต่ไม่ควรใส่ปุ๋ยหลังจากมันสำปะหลังอายุเกิน 4 เดือน เนื่องจากรากมันสำปะหลังจะเปลี่ยนจากรากหาอาหารไปเป็นรากสะสมอาหารทำให้ประสิทธิภาพการดูดใช้ปุ๋ยลดน้อยลง
ข้อควรระวังในการใส่ปุ๋ยคือ จะต้องมีการกำจัดวัชพืชก่อนการใส่ปุ๋ยเสมอเพื่อไม่ให้วัชพืชแก่งแย่งปุ๋ยที่ใส่ลงไปจากมันสำปะหลัง ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดการระบาดของวัชพืช (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
วิธีการใส่ปุ๋ย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
วิธีการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม ควรใส่ปุ๋ยตรงสันร่อง 2 ข้างลำต้นบริเวณขอบทรงพุ่ม (ขึ้นอยู่กับอายุพืชและขนาดของทรงพุ่ม) โดยการใช้จอบขุดเป็นหลุมขนาดเล็กลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร แล้วใช้ดินกลบ หากไม่กลบอาจทำให้เกิดการสูญเสียปุ๋ยมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์การใส่ปุ๋ยเคมีต้องดำเนินการในขณะที่ดินมีความชื้น และต้องกลบปุ๋ยด้วย การใส่ปุ๋ยรองพื้นมันสำปะหลังไม่ควรทำเพราะรากมันสำปะหลังยังมีปริมาณไม่มากพอที่จะดูดใช้ได้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีฝนตกค่อนข้างมากหลังจากการเสียบท่อนพันธุ์ ส่วนการใส่ปุ๋ยด้านข้างร่องอาจจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน โดยการโรยและไถกลบ แต่ไม่เหมาะสมกับมันสำปะหลังพันธุ์แนะนำที่มีระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 80-100 เซนติเมตร เพราะปลายรากพืชไม่สามารถดูดใช้ปุ๋ยได้ทั่วถึง และหากฝนตกแล้วมีการไหลของน้ำในร่องมันสำปะหลังก็จะทำให้เกิดการสูญเสีย สำหรับการหว่านปุ๋ยไม่แนะนำโดยสิ้นเชิงสำหรับการปลูกมันสำปะหลัง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
วิธีการใช้ปุ๋ยแต่ละชนิดให้กับพืช[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
มีด้วยกัน 2 ช่องทาง
- การใส่ปุ๋ยทางดิน มีปุ๋ยที่ใส่ทางดินเป็นแบบเม็ดใช้หว่างเป็นธาตุอาหารหลักของพืชและธาตุอาหารรองของพืช หรือแบบน้ำใช้ผสมรดให้แก่พืช เช่นปุ๋ยเคมีกระสอบ ปุ๋ยอินทรีย์กระสอบ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ
- การใส่ปุ๋ยน้ำทางใบ พืชสามารถดูดซับธาตุอาหารได้ทางราก เซลล์เนื้อเยื่อของลำต้น และทางใบ การใส่ปุ๋ยกับพืชทางใบเป็นการให้ธาตุอาหารแก่พืชที่เป็นอาหารแบบเร่งด่วนหรือลัดวงจร ดังนั้นปุ๋ยที่สามารถให้ทางใบหรือเซลล์เนื้อเยื่อได้จะต้องสามารถทำให้พืชดูดซับได้โดยง่าย เป็นระบบอะตอมขนาดเล็ก หรืออะตอมมิคนาโน ประโยชน์ของการให้ปุ๋ยทางใบช่วยลดการเสื่อมของดินได้อีกทางหนึ่ง ปุ๋ยน้ำทางใบมีทั้งแบบปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยเคมีสกัดเข้มข้น เป็นขบวนการผลิตปุ๋ยทางใบที่เป็นอะตอมมิคนาโน (แยกโมเลกุลของธาตุให้เป็นอะตอมเฉพาะธาตุ) เช่น น้ำ แยกโมเลกุลน้ำได้เป็น ไฮโรเยน และอ๊อกไซน์
เทคโนโลยีการให้ปุ๋ยในมันสำปะหลัง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ถังหยอดปุ๋ยชนิดมอเตอร์ไฟฟ้า ใช้พ่วงกับแบตเตอรี่รถไถ มีสวิทปิดเปิด ใช้วางบนหางไถ มีเกลียวหมุน หยอดปุ๋ยลงร่องที่ปลูกมันสำปะหลังจากนั้นใบไถจะตามกลบปุ๋ย ทำให้ปุ๋ยอยู่ในร่องที่เป๋นแนวปลูกและอยู่ใต้ผิวดิน เป็นการประหยัดปุ๋ย และทำให้ปุ๋ยไม่ระเหิดจากการโดนแดดเผาจึงทำให้มันสำปะหลังได้รับปุ๋ยมากยิ่งขึ้น เกิดการสูญเสียน้อย เพราะปุ๋ยอยู่ใต้ผิวดิน
- ถังหยอดปุ๋ยแบบอนาล็อค คือไม่ใช้ไฟฟ้า จะมีโซ่โยงมถึงลูกกลิ้งเวลารถไถวิ่งลูกกลิ้งจะหมุนลากโซ่ ส่งกำลังไปหมุนเกลียวเฟืองที่อยู่ใต้ถังปุ๋ย ปุ๋ยเม็ดจะหยอดลงมาตามร่องที่รถไถวิ่ง สามารถปรับปริมาณได้มากน้อย ที่ตัวปรับใต้ถัง หลังจากปุ๋ยลงดินจะโดนใบไถกลบปุ๋ยตามหลังเหมือนกัน ทำให้ปุ๋ยอยู่ใต้ดิน
- ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำทางใบโดยใช้แรงงานคนเดินพ่นตามร่องมันสำปะหลังและโดยใช้โดรน ช่วยให้มันสำปะหลังเจริญเติบโตได้เร็วคลุมหญ้าได้ไว มีใบกว้างสามารถสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้น และวิธีการพ่นปุ๋ยโดยใช้โดรนฉีดพ่นตามพื้นที่ต่างๆในแปลงมันสำปะหลัง (ฟาร์มเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร, 2554)[2]
วิธีการเลือกซื้อปุ๋ย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การเลือกซื้อปุ๋ยให้ได้คุณภาพมีวิธีการเลือกซื้อดังนี้
- ตามพระราชบัญญัติปุ๋ยปี พ.ศ. 2518 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปุ๋ย (ฉบับ 2) ปี พ.ศ. 2550 ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการเขียนข้อความที่สำคัญต่างเป็นภาษาไทย หรือที่เรียกว่า “ฉลากปุ๋ย” ไว้ที่กระสอบปุ๋ยให้เด่นชัด คือ
- ชื่อทางการค้าและมีคำว่าปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีมาตรฐาน หรือปุ๋ยอินทรีย์เคมีแล้วแต่กรณ
- เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายอื่นใด แสดงที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุปุ๋ยเคมี
- ปริมาณธาตุอาหารรับรอง
- น้ำหนักสุทธิหรือขนาดบรรจุของปุ๋ยเคมีตามระบบเมตริก
- ชื่อผู้ผลิต และที่ตั้งสำนักงานและสถานที่ผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการค้า
- ชื่อทางเคมีและปริมาณของสารเป็นพิษที่อยู่ในปุ๋ยเคมี (ทัศนีย์ และ ประทีป. 2552)[3]
- ตรวจสอบเลขทะเบียนของปุ๋ยที่ขึ้นกับกรมวิชาการเกษตรด้วยแอพพลิเคชั่นของกรมวิชาการเกษตร บนช่องทางเครื่องมือสื่อสาร
- ไม่หลงเชื้อคำโฆษณาชวนเชื่อ เกินราคา เกินความจริง เช่น ใช้ซองเดียวข้าวได้เป็นตันๆ
- เกษตรกรควรมีความรู้ เพื่อป้องกันการโดนหลอกขายปุ๋ย ขายยา โดยสามารถหาความรู้ได้ทางช่องทางอินเตอร์เน็ต หรือตามหน่วยงานด้านการเกษตร ทราบถึงธาตุอาหารที่พืชต้องการ ระยะเวลาการใส่ปุ๋ย ปริมาณที่พอเหมาะ
- ไม่หลงเชื่อคำพูดของของเกษตรกรผู้ปลูกด้วยกันง่ายๆ อาจเพราะการบอกว่าใช้ดีอาจหมายถึงเป็นตัวแทนขาย หรือได้รับผลประโยชน์
- ไม่หลงเชื่อโฆษณาตามอินเตอร์เน็ต หรือวิทยุได้ง่ายๆ
การวิเคราะห์เนื้อดินอย่างง่าย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การวิเคราะห์เนื้อดินด้วยชุดตรวจสอบดิน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
วิธีวิเคราะห์ดิน ด้วยชุดวิเคราะห์ของมูลนิธิพลังนิเวศ มก.
- ทำการบดตัวอย่างดินให้ละเอียดพอประมาณ ด้วยการทุบ ตำ หรือบดด้วยขวดแก้ว
ตรวจสอบค่าความเป็นกรดด่าง (pH)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ใส่ดินในถาดหลุม ครึ่งหลุม
- หยดน้ำยาเบอร์ 10 ทีละหยดจนดินอิ่มตัว แล้วเติมลงอีก 2 หยด
- 1 นาที อ่านค่าโดยเทียบสีมาตรฐาน
หมายเหตุ : ดินนา pH ต่ำกว่า 4.5 ไม่ต้องเติมปูน (เมื่อปล่อยน้ำเข้า pH จะเพิ่มขึ้น)
วิเคราะห์ธาตุอาหาร
เตรียมน้ำยาสกัด[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ตักดินด้วยช้อนตวง 1 ช้อนพูน เคาะช้อนสองถึงสามครั้งกับมือแล้วใช้เหล็กปาดให้เสมอขอบ
- ใส่ดินลงในขวดสกัด
- เตรียมน้ำยาสกัด เบอร์ 1 20 ม.ล (ห้ามขาด ห้ามเกิน) ใส่ภาชนะ
- เทน้ำยาสกัดลงในขวดที่มีดิน แล้วเขย่า 5 นาที
- เทน้ำสกัดลงในกรวยที่มีแผ่นกรองใส่ขวดรองรับ รอจนแห้
“ได้น้ำสกัดดินที่พร้อมนำไปสกัดหาธาตุอาหาร”
วิเคราะห์ แอมโมเนี่ยม ไนโตรเจน NH4+N[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ดูดน้ำที่กรองได้จากขวดรองรับ 2.5 ม.ล ใส่หลอดแก้ว
- เติมผงเบอร์ 2 หนึ่งช้อนเล็ก
- เติมน้ำยาเบอร์ 3 5 หยด
- ปิดฝาหลอดแก้วด้วยจุกยาง เขย่าให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5 นาที
- อ่านค่าโดยการเทียบแผ่นสีมาตรฐาน “แอมโมเนียม”
หมายเหตุ ถ้าโทนสีเป็นสีฟ้า ใช้แผ่นเทียบสีแผ่นที่ 1
ถ้าโทนสีเป็นสีเขียว ใช้แผ่นเทียบสีแผ่นที่ 2
วิเคราะห์ ไนเทรต ไนโตรเจน NO3- N[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ดูดน้ำที่กรองได้จากขวดรองรับ 2.5 ม.ล ใส่ในหลอดแก้ว
- เติมน้ำยาเบอร์ 4 0.5 ม.ล
- เติมผงเบอร์ 5 หนึ่งช้อนเล็ก
- ปิดฝาหลอดแก้วด้วยจุกยาง เขย่าให้เข้ากันทิ้งไว้ 5 นาที
- อ่านค่าไนเทรต โดยการเทียบแผ่นสีมาตรฐาน
วิเคราะห์ ฟอสฟอรัส P2O5 (Phosphorus Pentoxide)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ดูดน้ำกรองได้จากขวดรองรับ 2.5 ม.ล ใส่ในหลอดแก้ว
- เติมน้ำยาเบอร์6 0.5 ม.ล
- เติมผงเบอร์7 ครึ่งช้อนเล็ก
- ปิดฝาหลอดแก้วด้วยจุกยาง เขย่าให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5 นาที
- อ่านค่าฟอสฟอรัส โดยเปรียบเทียบแผ่นสีมาตรฐาน
วิเคราะห์ โพแทสเซี่ยม K2O (Potassium Oxide)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
เตรียมน้ำยา เบอร์9 โดยการดูดน้ำกรองจากขวด 3 ม.ล ใส่ลงในผง เบอร์9 เขย่าให้เข้ากัน 5 นาที จได้สารละลายสีน้ำตาลส้ม
*เมื่อใช้เหลือ เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิช่องปกติ สามารถเก็บได้นาน 3 เดือน
*หากเก็บในอุณหภูมิห้องปกติ สามารถเก็บได้นาน 7 วัน
*ส่วนผงเคมีที่ยังไม่ผสมน้ำยา สามารถเก็บไว้ได้นาน
- ดูดน้ำยาที่กรองได้จากขวดรองรับ 2.5 ม.ล
- เติมน้ำยาเบอร์ 8 2.0 ม.ล (ห้ามเขย่า)
- เติมน้ำยา 9A 1 หยด
- เติมน้ำยาเบอร์ 9 2 หยด (ห้ามเกิน)
- ปิดฝาหลอดแก้วด้วยจุกยาง เขย่าให้เข้ากัน แล้วอ่านค่า “ทันที”
*ถ้ามี “ตะกอน” อ่านค่าได้ว่ามีปริมาณ โพแทสเซี่ยมสูง
* ถ้า“ฝ้าขาว” อ่านค่าได้ว่ามีปริมาณ โพแทสเซี่ยมปานกลาง
* ถ้าไม่มีทั้ง“ตะกอน” และ “ฝ้าขาว” อ่านค่าได้ว่ามีปริมาณ โพแทสเซียมต่ำ (ทัศนีย์ และ ประทีป. 2558)[3]
การใส่ปุ๋ยตามเนื้อดินจากการประเมินอย่างง่าย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
ตารางการใส่ปุ๋ยตามเนื้อดินจากการประเมินอย่างง่าย
การจัดการ | ดินทราย/
ดินทรายปนดินร่วน |
ดินร่วนปนทราย | ดินร่วนเหนียว | ดินเหนียว |
สูตรปุ๋ย | · 15-7-18 | · 15-7-18 | · 15-7-18 | · 15-15-15 |
อัตรา (กก./ไร่) | · 50-100 | · 50-100 | · 50 | · 30-40 |
วิธีการใส่ | · โรยข้างแถวแล้วใช้
รถไถกลบ |
· โรยข้างแถวแล้วใช้รถไถกลบ | · โรยข้างแถวแล้วใช้รถไถกลบ | · โรยข้างแถวแล้วใช้รถไถกลบ |
จำนวนครั้งในการใส่ | · 2 | · 2 | · 1 | · 1 |
ช่วงเวลาการใส่ | · 1 และ 3 เดือนหลังปลูก | · 1 และ 3 เดือนหลังปลูก | · 1-2 เดือนหลังปลูก | · 1-2 เดือนหลังปลูก |
อัตราการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ (มูลไก่แกลบ: กิโลกรัม) | · 400-800 | · 400-800 | · 400 | · 400 |
หมายเหตุ สูตรและอัตราการใส่ปุ๋ยเคมี/อินทรีย์ควรใส่ตามค่าวิเคราะห์ดิน
ที่มา: ดัดแปลงจากคำแนะนำการใช้ปุ๋ยกับพืชเศรษฐกิจ (กรมวิชาการเกษตร, 2553)[4]
การใส่ปุ๋ยและปรับปรุงดินตามค่าวิเคราะห์ดิน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
พีเอช (pH)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ระดับปานกลาง (4.5-7.0) ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องมีการปรับปรุงเนื่องจากเป็นพิสัยที่
มันสำปะหลังเจริญเติบโตได้ดี
- ระดับต่ำถึงต่ำมาก (3.5-4.5) ดินมีความเป็นกรดสูง ควรมีการยกระดับพีเอชโดยการใส่ปูน เช่น หินปูนบด โดโลไมต์ หรือวัสดุปรับปรุงดินที่มีฤทธิ์เป็นด่างอื่น ๆ รวมถึงมูลไก่ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีผลตกค้างเป็นกรด เช่น ปุ๋ยไนโตรเจนที่อยู่ในรูปแอมโมเนียมไนโตรเจน เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต และฟอสฟอรัสอาจใช้ในรูปของหินฟอสเฟต
- ระดับสูงถึงสูงมาก (7.0-8.0) ดินมีความเป็นด่างสูง ควรใช้ปุ๋ยที่มีผลตกค้างเป็นกรด เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุปรับปรุงดินที่เป็นด่าง ควรมีการฉีดพ่นปุ๋ยธาตุอาหารเสริมทางใบโดยเฉพาะสังกะสี หรือชุบท่อนพันธุ์ก่อนปลูกเพื่อลดปัญหาการขาดธาตุอาหารเสริมของมันสำปะหลัง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)
ปริมาณอินทรียวัตถุ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ระดับต่ำมาก (<1.0%) ควรมีการจัดการเพิ่มเติมอินทรียวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกโดยเฉพาะมูลไก่แกลบในอัตรา 500-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ควรพิจารณาเรื่องการปรับลดปุ๋ยไนโตรเจนลงบ้างเพื่อลดอาการเฝือใบ การใส่กากแป้งจากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังในระยะยาวอาจส่งผลต่อการลดลงของค่าพีเอชดิน ซึ่งต้องมีการทดลองว่ามีผลต่อมันสำปะหลังอย่างไร การใช้กากแป้งที่มี C:N Ratio กว้างในปริมาณมาก ต้องระวังการเกิด N-immobilization และอาจทำให้พืชขาด N ได้ โดยเฉพาะในระยะแรก ๆ ของการเติบโตของมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่จะมีผลต่อการให้ผลผลิตที่สำคัญมาก และการไถกลบเศษเหลือของพืชลงไปในดินอย่างสม่ำเสมอ หรือการไถกลบพืชปุ๋ยสดจะช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
ค่าความเค็ม[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
มันสำปะหลังส่วนใหญ่จะปลูกในที่ดอน ดังนั้น จึงไม่ค่อยพบปัญหา ยกเว้นในบางบริเวณที่ปลูกอยู่ระหว่างรอยต่อของที่นาที่เป็นดินเค็มกับที่ดอน ซึ่งแก้ไขได้โดยการเพิ่มเติมวัสดุอินทรีย์ เช่น แกลบสด หรือเศษเหลือของพืชแล้วไถกลบ ควรหลีกเลี่ยงการใช้มูลไก่สด หรือมูลไก่แกลบ เนื่องจากเป็นวัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์ที่มีค่าความเค็มค่อนข้างสูง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ระดับต่ำมากถึงค่อนข้างต่ำ (<10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ควรใช้ปุ๋ยหลักที่เป็นสูตรเสมอ เช่น ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 หรือในเรโช 1:1:1 ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่
- ระดับปานกลางถึงระดับค่อนข้างสูง (10-25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ควรใช้ปุ๋ยหลักที่มีเรโชปุ๋ยประมาณ 2:1:2 หรือ 2:1:3 เช่นปุ๋ยสูตร 15-7-18 ฯลฯ
- ระดับสูงถึงสูงมาก (>25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่มีฟอสฟอรัสในรูปปุ๋ยเดี่ยวไนโตรเจน โพแทสเซียม หรือปุ๋ยผสม (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ระดับต่ำมาก (<30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในกรณีของดินเนื้อหยาบ ประเภท ดินทรายจัด ควรใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น สูตร 15-15-15 ฯลฯ
- ระดับต่ำ (30-60 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ควรใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น สูตร 15-15-15 หรือใส่ปุ๋ยสูตรดังกล่าวผสมกับปุ๋ยสูตร 13-13-21 ในสัดส่วน 1:1
- ระดับปานกลาง (60-90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ควรใส่ปุ๋ยที่มีเรโชปุ๋ย ประมาณ 2:1:2 หรือ 2:1:3 เช่น ปุ๋ยสูตร 15-7-18 ฯลฯ
- ระดับสูง (>90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) เนื่องจากมีโพแทสเซียมสูงอยู่แล้ว แนะนำให้ใส่ปุ๋ยสูตรที่มีเรโช ประมาณ 1:1:0 เช่นสูตร 16-20-0 หรือปุ๋ยที่มีเรโช 2:2:1 เช่นปุ๋ยสูตร 16-16-8 ฯลฯ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
ธาตุอาหารรอง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
(แคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ แมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ และกำมะถันที่เป็นประโยชน์)
ทั้ง 3 ธาตุจะส่งผลต่อผลผลิตมันสำปะหลังเมื่อพบในดินที่ระดับต่ำถึงต่ำมาก อย่างไรตาม หากมีการปรับปรุงดินโดยใช้หินปูนบด หรือสารปูนไลม์อื่น ๆ ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลเซียม ยิปซัมแก้ปัญหาการขาดแคลเซียม และกำมะถัน โดโลไมต์แก้ปัญหาการขาดแคลเซียม และแมกนีเซียม ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกหลาย ๆ ชนิด แก้ปัญหาการขาดแมกนีเซียม และกำมะถัน ทั้งนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ธาตุทั้ง 3 เพิ่มเติม โอกาสที่พืชจะขาดแคลเซียมและแมกนีเซียมได้จะเป็นกรณีของดินกรดจัด และดินทราย
ในกรณีที่ดินขาดธาตุอาหารรอง (Ca, Mg และ S) แนะนำให้ใช้ปุ๋ยธาตุอาหารรอง (Ca, Mg, S) เช่น ฟอสโฟยิปซัม (CaSO4.2H2O+P) ยิปซัม (CaSO4.2H2O) โดโลไมต์(CaCO3.MgCO3) ซัล-โป-แม๊กซ์ (MgSO4.K2SO4) โดยการใช้ฟอสโฟยิปซัม ยิปซัม และ โดโลไมต์ จะช่วยปรับปรุงสมบัติของดินที่มีปัญหาทางฟิสิกส์ไปด้วย เช่น ดินที่มีอัตราการแทรกซึมน้ำต่ำ ดินที่เกิดแผ่นแข็งปิดผิว กล่าวคือ มีคุณสมบัติเป็นทั้งปุ๋ยธาตุอาหารรอง และสารปรับปรุงดินไปพร้อม ๆ กัน ฯลฯ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
ธาตุอาหารเสริม[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
โบรอนเป็นธาตุอาหารเสริมที่มันสำปะหลังต้องการในปริมาณน้อยมาก และไม่ค่อยพบรายงานว่ามีอาการขาดเกิดขึ้นในแปลงปลูกมันสำปะหลัง สำหรับธาตุทองแดง แมงกานีส และเหล็ก โดยทั่วไปไม่ค่อยพบอาการขาดในประเทศไทยโดยเฉพาะในดินที่มีพีเอชเป็นกรด ปัญหาที่พบมากที่สุดสำหรับมันสำปะหลังที่ปลูกในประเทศไทยก็คือ การขาดธาตุสังกะสีโดยเฉพาะเมื่อปลูกในดินทรายจัด ดินด่าง หรือพื้นที่ดินที่ปลูกมันสำปะหลังต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน หรือมีการใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง การขาดสังกะสีมีผลทำให้มันสำปะหลังยืดต้นช้า พบแถบสีขาว หรือเหลืองบนใบอ่อน ใบอาจย่นหรือเปลี่ยนรูปร่าง อาจพบจุดแผลเซลล์ตายในใบล่าง และอาจรุนแรงทำให้ต้นตาย ส่งผลถึงความอยู่รอดและผลผลิตมันสำปะหลัง แก้ไขโดยการฉีดพ่นปุ๋ยซิงค์ซัลเฟตเฮปตะไฮเดรต หรือซิงค์ซัลเฟตโมโนไฮเดรตทางใบที่อัตรา 0.8 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทางใบเมื่อมันสำปะหลังอายุ 1, 2 และ 3 เดือนหลังปลูก หรือชุบท่อนพันธุ์ก่อนปลูกด้วยธาตุสังกะสี (ซิงค์ซัลเฟตเฮปตะไฮเดรต หรือซิงค์ซัลเฟตโมโนไฮเดรต) ที่ละลายน้ำในอัตรา 0.4 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เป็นเวลา 15 นาที (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]
การปรับปรุงดินโดยชีววิธี[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การปรับปรุงดินเป็นการรักษาคุณภาพดิน เพื่อให้คงสภาพความอุดมสมบูรณ์ เพื่อใช้สำหรับเพาะปลูกได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงต้องมีการปรับปรุงอย่างถูกวิธี ซึ่งการปรับปรุงดินนั้นมีหลายวิธี ได้แก่ การปลูกพืชแซม การคลุมดิน การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชคลุมดิน การใช้ปุ๋ยพืชสด การปลูกพืชบนพื้นที่ระหว่างแถวไม้ยืนต้น และการใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก วิธีการเหล่านี้ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ปรับปรุงโครงสร้างดิน ซึ่งสามารถใช้ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีได้
- การปลูกพืชแซม เป็นการปลูกพืชหลากหลายชนิดในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้ธาตุอาหารที่อยู่ในดินที่เกิดการชะล้างน้อยลง การปลูกพืชแซมจะช่วยดึงธาตุอาหาออกจากดินได้สูงขึ้นกว่าการปลูกมันสำปะหลังเพียงอย่างเดียว ในการทดลองการปลูกพืชแซมในประเทศไทย (Reinhardt Howeler and Tin Maung Aye, 2015 หน้า 108) พบว่าการ หลังจากการปลูกถั่วเหลือง หรือถั่วลิสงแซมกับมันสำปะหลังมานาน 24 ปี อินทรีวัตถุในดินมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 1.0 % เป็น 1.2 หรือ 1.3 % ในขณะที่ปลูกมันสำปะหลังเพียงอย่างเดียวปริมาณอินทรียวัตถุจะลดลงเล็กน้อยเป็น 0.9 % เมื่อมีการบริหารจัดการที่ดีจากการปลูกพืชแซม จะลดการเสียหายของหน้าดิน การไถกลบเศษซากพืชแซมจะช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน
- การคลุมดิน คือการปล่อยให้เศษซากพืชทิ้งไว้ที่ผิวดิน จะช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืช ควบคุมอุณหภูมิ และรักษาความชื้นในดิน ช่วยป้องกันการเกิดการชะล้างของดิน ซึ่งถ้าดินโปร่งจะช่วยให้ต้นพันธุ์มันสำปะหลังลงปลูกได้โดยตรง วิธีการนี้เป็นการปลูกพืชโดยไม่ไถพรวน หรือพรวนดินน้อย เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของดิน
- การปลูกพืชหมุนเวียน เช่น ธัญพืช หรือหญ้าต่างๆ ช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อรา (Phytophthora spp.) และโรคพุ่มแจ้ ช่วยเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ยังป้องกันการกระจายของเชื้อโรคจากซากมันสำปะหลังในฤดูกาลผลิตที่ผ่านมา
- การปลูกพืชคลุมดิน
- การใช้ปุ๋ยพืชสด
- การปลูกพืชบนพื้นที่ระหว่างแถวไม้ยืนต้น
- การใส่ปุ๋ยคอก
- ปุ๋ยหมัก
อ้างอิง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 1.8 1.9 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2556) เทคโนโลยี 52 สัปดาห์ มันสำปะหลัง. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์:กรุงเทพฯ.
- ↑ ฟาร์ฒเกษตร ชีวิตเกษตร ครบวงจร. 2554. มันสำปะหลังและการปลูกมันสำปะหลัง. ที่มา: https://www.farmkaset.org/html5/contents.aspx?con_id=00434. วันที่สืบค้น 16 กรกฎาคม 2564.
- ↑ 3.0 3.1 ทัศนีย์ อัตตะนันทน์ และ ประทีป วีระพัฒนนิรันดร์. 2552. ธรรมชาติของดินและปุ๋ย. ครั้งที่ 7 หจก. กรครีเอชั่น. กรุงเทพฯ.
- ↑ กรมวิชาการเกษตร. 2553. คำแนะนำการใช้ปุ๋ยกับพืชเศรษฐกิจ. กรมวิชาการเกษตร, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 122 หน้า.