ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การจัดการน้ำในแปลงปลูก"

บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
=== '''ความต้องการน้ำของมันสำปะหลัง''' ===
=== '''ความต้องการน้ำของมันสำปะหลัง''' ===
มันสำปะหลังเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้ง แบ่งระยะการเจริญเติบโตออกเป็น 5 ระยะ คือ ระยะแตกตาอายุ 5-15 วัน ระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและรากอายุ 16-90 วัน ระยะการเจริญทางต้นและใบอายุ 91-180 วัน ระยะสะสมอาหารที่หัวอายุ 181-300 วัน และระยะพักตัว อายุ 301-365 วัน แต่มีระยะเวลาที่ควรได้รับน้ำอย่างเพียงพอ คือ 150 วันหลังปลูก ได้แก่ ระยะแตกตาถึงระยะการเจริญทางต้นและใบ (Alves, 2002) เพื่อให้ต้นมันสำปะหลังเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี ค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช (Crop Coefficient; Kc) สำหรับมันสำปะหลังแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงของการเจริญเติบโต เมื่อมันสำปะหลังมีอายุ 0-60 (ระยะแตกตาถึงระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและราก), 61-150 (ระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและรากถึงระยะสะสมอาหารที่หัว) และ 151-210 (ระยะสะสมอาหารที่หัว) วันหลังปลูก มีค่า Kc เท่ากับ 0.3, 0.8 และ 0.3 และมีความต้องการน้ำเท่ากับ 1.8, 5.0 และ 1.8 มิลลิเมตรต่อวันตามลำดับ หรือประมาณ 760 มิลลิเมตร หรือ 1,274 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ตลอดระยะเวลาปลูก 365 วัน  ทั้งนี้มันสำปะหลังควรได้รับน้ำไม่น้อยกว่า 50 มิลลิเมตรต่อเดือน หรือ 500-600 มิลลิเมตรต่อปี เพื่อป้องกันไม่ให้หัวมันสำปะหลังหยุดการเจริญเติบโต  
มันสำปะหลังเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้ง แบ่งระยะการเจริญเติบโตออกเป็น 5 ระยะ คือ ระยะแตกตาอายุ 5-15 วัน ระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและรากอายุ 16-90 วัน ระยะการเจริญทางต้นและใบอายุ 91-180 วัน ระยะสะสมอาหารที่หัวอายุ 181-300 วัน และระยะพักตัว อายุ 301-365 วัน แต่มีระยะเวลาที่ควรได้รับน้ำอย่างเพียงพอ คือ 150 วันหลังปลูก ได้แก่ ระยะแตกตาถึงระยะการเจริญทางต้นและใบ <ref>Alves, A., Panis, Y., Trancart, D., Regimbeau, J. M., Pocard, M., & Valleur, P. (2002). Factors associated with clinically significant anastomotic leakage after large bowel resection: multivariate analysis of 707 patients. ''World journal of surgery'', ''26''(4), 499-502.</ref> เพื่อให้ต้นมันสำปะหลังเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี ค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช (Crop Coefficient; Kc) สำหรับมันสำปะหลังแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงของการเจริญเติบโต เมื่อมันสำปะหลังมีอายุ 0-60 (ระยะแตกตาถึงระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและราก), 61-150 (ระยะสร้างเนื้อเยื่อใบและรากถึงระยะสะสมอาหารที่หัว) และ 151-210 (ระยะสะสมอาหารที่หัว) วันหลังปลูก มีค่า Kc เท่ากับ 0.3, 0.8 และ 0.3 และมีความต้องการน้ำเท่ากับ 1.8, 5.0 และ 1.8 มิลลิเมตรต่อวันตามลำดับ หรือประมาณ 760 มิลลิเมตร หรือ 1,274 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ตลอดระยะเวลาปลูก 365 วัน  ทั้งนี้มันสำปะหลังควรได้รับน้ำไม่น้อยกว่า 50 มิลลิเมตรต่อเดือน หรือ 500-600 มิลลิเมตรต่อปี เพื่อป้องกันไม่ให้หัวมันสำปะหลังหยุดการเจริญเติบโต  


=== '''สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการน้ำสำหรับมันสำปะหลัง''' ===
=== '''สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการน้ำสำหรับมันสำปะหลัง''' ===
บรรทัดที่ 14: บรรทัดที่ 14:
สำหรับการปลูกมันสำปะหลังทั่วโลกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นการปลูกโดยอาศัยน้ำฝน และส่วน 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นการปลูกโดยอาศัยน้ำฝนร่วมกับการจัดการน้ำชลประทาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการให้น้ำแบบน้ำหยด โดยเป็นการให้น้ำแก่มันสำปะหลังในช่วงที่ฝนไม่ตกเพื่อให้มันสำปะหลังได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจากไม่ให้น้ำถึง 2 เท่า  
สำหรับการปลูกมันสำปะหลังทั่วโลกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นการปลูกโดยอาศัยน้ำฝน และส่วน 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นการปลูกโดยอาศัยน้ำฝนร่วมกับการจัดการน้ำชลประทาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการให้น้ำแบบน้ำหยด โดยเป็นการให้น้ำแก่มันสำปะหลังในช่วงที่ฝนไม่ตกเพื่อให้มันสำปะหลังได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจากไม่ให้น้ำถึง 2 เท่า  


# '''การปลูกในเขตน้ำฝน''' มันสำปะหลังสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีหากปริมาณน้ำฝนสม่ำเสมอ หรือมีความชื้นที่เพียงพอต่อการงอกในระยะแรก สำหรับประเทศไทยมีการปลูกมันสำปะหลังเกือบร้อยละ 50 ของพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั้งหมด พบว่า ปลูกมันสำปะหลังในช่วงเดือนเมษายน ถึง เดือนมิถุนายน โดยสิ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการปลูกมันสำปะหลังที่อาศัยน้ำฝน คือ ปริมาณน้ำที่จะได้รับจากฝนว่าเพียงพอหรือไม่ หรือหากได้รับน้ำฝนในปริมาณที่มากเกินไปมีการจัดการพื้นที่เพื่อระบายน้ำได้ดีไหม เพื่อลดอาการเน่าของผลผลิต แต่สำหรับประเทศไทยยังเจอปัญหาในช่วงแล้งที่ฝนไม่ตก คือ ส่งผลต่อการแตกตาและการเจริญเติบโตของมันสำปะหลังกระทบไปยังผลผลิต อีกด้วย (Fao, 2013)
# '''การปลูกในเขตน้ำฝน''' มันสำปะหลังสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีหากปริมาณน้ำฝนสม่ำเสมอ หรือมีความชื้นที่เพียงพอต่อการงอกในระยะแรก สำหรับประเทศไทยมีการปลูกมันสำปะหลังเกือบร้อยละ 50 ของพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั้งหมด พบว่า ปลูกมันสำปะหลังในช่วงเดือนเมษายน ถึง เดือนมิถุนายน โดยสิ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการปลูกมันสำปะหลังที่อาศัยน้ำฝน คือ ปริมาณน้ำที่จะได้รับจากฝนว่าเพียงพอหรือไม่ หรือหากได้รับน้ำฝนในปริมาณที่มากเกินไปมีการจัดการพื้นที่เพื่อระบายน้ำได้ดีไหม เพื่อลดอาการเน่าของผลผลิต แต่สำหรับประเทศไทยยังเจอปัญหาในช่วงแล้งที่ฝนไม่ตก คือ ส่งผลต่อการแตกตาและการเจริญเติบโตของมันสำปะหลังกระทบไปยังผลผลิต อีกด้วย
# '''การปลูกในเขตชลประทาน''' การจัดการน้ำชลประทานเพื่อการปลูกมันสำปะหลังสามารถจัดการได้หลายรูปแบบทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ สมบัติของดิน ลักษณะพื้นที่ หรือการเตรียมดินเพื่อปลูก ตลอดจนแหล่งน้ำมีปริมาณมากน้อยเพียงใดที่จะนำมาให้แก่พืช (ธรรมนูญ, 2549) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ๆ คือ การให้น้ำแบบเหนือผิวดิน การให้น้ำทางผิวดิน และการให้น้ำใต้ผิวดิน
# '''การปลูกในเขตชลประทาน''' การจัดการน้ำชลประทานเพื่อการปลูกมันสำปะหลังสามารถจัดการได้หลายรูปแบบทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ สมบัติของดิน ลักษณะพื้นที่ หรือการเตรียมดินเพื่อปลูก ตลอดจนแหล่งน้ำมีปริมาณมากน้อยเพียงใดที่จะนำมาให้แก่พืช<ref name=":0">ธรรมนูญ แก้วคงคา. (2549). ''การให้น้ำชลประทานกับพืช: เอกสารวิชาการ''.  [ม.ป.ท.]: กรมวิชาการเกษตร สำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา</ref> ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ๆ คือ การให้น้ำแบบเหนือผิวดิน การให้น้ำทางผิวดิน และการให้น้ำใต้ผิวดิน


=== '''รูปแบบการให้น้ำสำหรับมันสำปะหลัง''' ===
=== '''รูปแบบการให้น้ำสำหรับมันสำปะหลัง''' ===
บรรทัดที่ 22: บรรทัดที่ 22:
เป็นการให้น้ำในแปลงปลูกพืชที่มีพื้นที่มีความลาดเทมากและไม่สามารถปรับพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอ ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น การให้น้ำระบบฝนโปรย (sprinkler) หรือรูปแบบน้ำหยด เป็นต้น  
เป็นการให้น้ำในแปลงปลูกพืชที่มีพื้นที่มีความลาดเทมากและไม่สามารถปรับพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอ ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น การให้น้ำระบบฝนโปรย (sprinkler) หรือรูปแบบน้ำหยด เป็นต้น  


# '''การให้น้ำระบบฝนโปรย (sprinkler)''' เป็นการใช้ปั้มน้ำส่งน้ำผ่านท่อไปยังหัวสปริงเกอร์เพื่อฉีดพ่นขึ้นสู่อากาศ เหมาะสำหรับพื้นที่ที่พื้นที่มีความลาดเทมากและไม่สามารถปรับพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอได้ วิธีนี้จะทำให้น้ำกระจายสม่ำเสมอและเป็นไปอย่างช้า ๆ และใช้ได้กับทุกอัตราการซึมน้ำจากผิวดิน มีประสิทธิภาพการใช้น้ำ 70-85 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดการไหลบ่าของน้ำที่ชะล้างหน้าดิน แต่การให้น้ำวิธีนี้ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ที่มีลมแรงมาก เพราะลมจะพัดพาละอองน้ำบางส่วนออกไปจากพื้นที่ที่จะให้น้ำ (กรมพัฒนาที่ดิน, 2525; สมเกียรติ, 2546; มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)
# '''การให้น้ำระบบฝนโปรย (sprinkler)''' เป็นการใช้ปั้มน้ำส่งน้ำผ่านท่อไปยังหัวสปริงเกอร์เพื่อฉีดพ่นขึ้นสู่อากาศ เหมาะสำหรับพื้นที่ที่พื้นที่มีความลาดเทมากและไม่สามารถปรับพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอได้ วิธีนี้จะทำให้น้ำกระจายสม่ำเสมอและเป็นไปอย่างช้า ๆ และใช้ได้กับทุกอัตราการซึมน้ำจากผิวดิน มีประสิทธิภาพการใช้น้ำ 70-85 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดการไหลบ่าของน้ำที่ชะล้างหน้าดิน แต่การให้น้ำวิธีนี้ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ที่มีลมแรงมาก เพราะลมจะพัดพาละอองน้ำบางส่วนออกไปจากพื้นที่ที่จะให้น้ำ  
# '''การให้น้ำรูปบน้ำหยด (Drip หรือ Trickle)''' เป็นการใช้ปั้มน้ำส่งน้ำผ่านท่อไปยังหัวน้ำหยดซึ่งน้ำจะหยดลงดิน ทำให้ดินบางส่วนภายใต้รัศมีทรงพุ่มของพืชได้รับน้ำ ซึ่งเหมาะสำหรับให้น้ำในแปลงมันสำปะหลังที่ปลูกในฤดูแล้งปลายฝน (ธรรมนูญ, 2549)  เป็นวิธีที่ประหยัดแรงงานในการให้น้ำ สามารถให้ปุ๋ยและสารเคมีพร้อม ๆ กับการให้น้ำได้ ลดปัญหาของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความเปียกชื้นและปัญหาวัชพืชในแปลง รวมทั้งมีประสิทธิภาพการใช้น้ำ 95-100 เปอร์เซ็นต์ (ธรรมนูญ, 2549; พงษ์ศักดิ์, 2548; มนตรี, 2554) นอกจากนี้ ข้อดีของการให้น้ำแบบหยด คือ ให้น้ำปริมาณน้อย ให้ได้บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดน้ำและช่วยรักษาความชื้นในดินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช (Fao, 2013)
# '''การให้น้ำรูปบน้ำหยด (Drip หรือ Trickle)''' เป็นการใช้ปั้มน้ำส่งน้ำผ่านท่อไปยังหัวน้ำหยดซึ่งน้ำจะหยดลงดิน ทำให้ดินบางส่วนภายใต้รัศมีทรงพุ่มของพืชได้รับน้ำ ซึ่งเหมาะสำหรับให้น้ำในแปลงมันสำปะหลังที่ปลูกในฤดูแล้งปลายฝน<ref name=":0" /> เป็นวิธีที่ประหยัดแรงงานในการให้น้ำ สามารถให้ปุ๋ยและสารเคมีพร้อม ๆ กับการให้น้ำได้ ลดปัญหาของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความเปียกชื้นและปัญหาวัชพืชในแปลง รวมทั้งมีประสิทธิภาพการใช้น้ำ 95-100 เปอร์เซ็นต์<ref>มนตรี ค้ำชู. (2538). ระบบให้น้ำในการเกษตรแบบทันสมัย. ''เมืองเกษตร'', 7(82), 75-77.</ref> นอกจากนี้ ข้อดีของการให้น้ำแบบหยด คือ ให้น้ำปริมาณน้อย ให้ได้บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดน้ำและช่วยรักษาความชื้นในดินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช  


==== '''การให้น้ำทางผิวดิน (surface)''' ====
==== '''การให้น้ำทางผิวดิน (surface)''' ====
บรรทัดที่ 32: บรรทัดที่ 32:


==== '''การให้น้ำใต้ดิน (Subirrigation)''' ====
==== '''การให้น้ำใต้ดิน (Subirrigation)''' ====
เป็นการให้น้ำโดยการยกระดับน้ำใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่น้ำจะไหลซึมขึ้นมาสู่เขตรากพืชได้ จะทำให้น้ำบริเวณเขตรากพืชเกิดการเคลื่อนที่โดยแรงดึงดูดของช่องว่างภายในอนุภาคดิน จากที่ที่มีความชื้นไปยังบริเวณที่แห้ง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) สามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ การให้น้ำในคูและการฝั่งท่อน้ำไว้ใต้ดิน โดยความลึกของระดับน้ำใต้ดินขณะให้น้ำจะอยู่ระหว่าง 30-60 ซม. การให้น้ำรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพ 30-50 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสมที่จะใช้กับดินที่มีเนื้อดินชนิดเดียวกัน แต่จำกัดใช้ได้กับพืชเพียงบางชนิดที่มีรากลึก หากพืชยืนต้นไม่เหมาะที่จะให้น้ำรูปแบบนี้ (วิบูลย์, 2526)
เป็นการให้น้ำโดยการยกระดับน้ำใต้ดินให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่น้ำจะไหลซึมขึ้นมาสู่เขตรากพืชได้ จะทำให้น้ำบริเวณเขตรากพืชเกิดการเคลื่อนที่โดยแรงดึงดูดของช่องว่างภายในอนุภาคดิน จากที่ที่มีความชื้นไปยังบริเวณที่แห้ง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556) สามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ การให้น้ำในคูและการฝั่งท่อน้ำไว้ใต้ดิน โดยความลึกของระดับน้ำใต้ดินขณะให้น้ำจะอยู่ระหว่าง 30-60 ซม. การให้น้ำรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพ 30-50 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสมที่จะใช้กับดินที่มีเนื้อดินชนิดเดียวกัน แต่จำกัดใช้ได้กับพืชเพียงบางชนิดที่มีรากลึก หากพืชยืนต้นไม่เหมาะที่จะให้น้ำรูปแบบนี้ <ref>วิบูลย์ บุญยธโรกุล. (2526). ''หลักการชลประทาน''. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน.</ref>
100

การแก้ไข