ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โรคใบด่างมันสำปะหลัง"

ไปยังการนำทาง ไปยังการค้นหา
ไม่มีคำอธิบายอย่างย่อ
บรรทัดที่ 2: บรรทัดที่ 2:


== '''ประวัติการเกิดโรค''' ==
== '''ประวัติการเกิดโรค''' ==
โรคใบด่างมันสำปะหลังพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2437 ในแถบชายฝั่งทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา หรือในปัจจุบันคือประเทศแทนซาเนีย โดยตั้งชื่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ว่า African cassava mosaic virus (ACMV) (Warburg, 1894) จากนั้นเมื่อเจอโรคใบด่างมันสำปะหลังในแอฟริกาไม่ว่าประเทศใด เกิดจากเชื้อไวรัส ACMD ทั้งหมด จนกระทั่งพบเชื้อที่มีลักษณะเหมือน ACMD เกือบทุกประการ แต่ไม่ทำปฏิกิริยาทางเซรุ่มวิทยากับ anti ACMD โดยพบการแพร่ระบาดในประเทศ เคนย่า ทางทิศตะวันออกของทวีปแอฟริกา จึงเรียกเชื้อชนิดนี้ East african cassava mosaic virus (EACMD) เพื่อให้ทราบเชื้อเจ้าถิ่นอยู่ทางตะวันออก จากนั้นมีการค้นพบเชื้อสาเหตุโรค Cassava mosaic virus (CMD) ในมันสำปะหลังที่อยู่ในกลุ่ม Begomovirus ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด คือ East african common cassava mosaic virus (EACCMV), East african cassava mosaic kenya virus (EACMKV), East african cassava mosaic malawi virus (EACMMV), East african cassava mosaic zanaibar virus (EACMZV) และ South african cassava mosaic virus (SACMV) ซึ่งพบการระบาดเฉพาะในแอฟริกา และอีก 2 ชนิด พบการแพร่ระบาดในประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ. 2493 และประเทศศรีลังกา ในปี พ.ศ. 2529 คือ Indian cassava mosaic virus (ICMV) และ Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) เพื่อลดความสับสนในการเรียกชื่อ ปัจจุบัน the international committee on taxonomy of viruses (ICTV) ได้ใช้ชื่อรวมเรียกไวรัสในกลุ่มนี้ว่า Cassava mosaic Begomovirus (CMBs) หรือ Cassava mosaic geminiviruses (CMGs) (<ref>โสภณ วงศ์แก้ว.  2560.  ไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง: วายร้ายระดับโลก. </ref>; ปิยะ และคณะ, 2562)  
โรคใบด่างมันสำปะหลังพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2437 ในแถบชายฝั่งทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา หรือในปัจจุบันคือประเทศแทนซาเนีย โดยตั้งชื่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ว่า African cassava mosaic virus (ACMV) จากนั้นเมื่อเจอโรคใบด่างมันสำปะหลังในแอฟริกาไม่ว่าประเทศใด เกิดจากเชื้อไวรัส ACMD ทั้งหมด จนกระทั่งพบเชื้อที่มีลักษณะเหมือน ACMD เกือบทุกประการ แต่ไม่ทำปฏิกิริยาทางเซรุ่มวิทยากับ anti ACMD โดยพบการแพร่ระบาดในประเทศ เคนย่า ทางทิศตะวันออกของทวีปแอฟริกา จึงเรียกเชื้อชนิดนี้ East african cassava mosaic virus (EACMD) เพื่อให้ทราบเชื้อเจ้าถิ่นอยู่ทางตะวันออก จากนั้นมีการค้นพบเชื้อสาเหตุโรค Cassava mosaic virus (CMD) ในมันสำปะหลังที่อยู่ในกลุ่ม Begomovirus ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด คือ East african common cassava mosaic virus (EACCMV), East african cassava mosaic kenya virus (EACMKV), East african cassava mosaic malawi virus (EACMMV), East african cassava mosaic zanaibar virus (EACMZV) และ South african cassava mosaic virus (SACMV) ซึ่งพบการระบาดเฉพาะในแอฟริกา และอีก 2 ชนิด พบการแพร่ระบาดในประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ. 2493 และประเทศศรีลังกา ในปี พ.ศ. 2529 คือ Indian cassava mosaic virus (ICMV) และ Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) เพื่อลดความสับสนในการเรียกชื่อ ปัจจุบัน the international committee on taxonomy of viruses (ICTV) ได้ใช้ชื่อรวมเรียกไวรัสในกลุ่มนี้ว่า Cassava mosaic Begomovirus (CMBs) หรือ Cassava mosaic geminiviruses (CMGs) (<ref>โสภณ วงศ์แก้ว.  2560.  ไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง: วายร้ายระดับโลก. </ref>; <ref>ปิยะ กิตติภาดากุล, อัญชนา ท่านเจริญ, วันวิสา ศิริวรรณ์ และ สมบุญ ภาณุวัฒน์สุข.  2562.  ไทยอาจต้องเลิกปลูกมันสำปะหลังหากไม่สามารถหยุดโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ (ตอนที่ 1). เคหการเกษตร. 43(7): 171-174.</ref>)  


== '''การแพร่ระบาดในโลกแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้''' ==
== '''การแพร่ระบาดในโลกแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้''' ==
มีการรายงานตรวจพบโรคใบด่างมันสำปะหลังครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศกัมพูชา ในปี 2559 สายพันธุ์ ''Sri Lankan cassava mosaic virus'' (SLCMD) (Wang ''et al''., 2016) ในความเป็นจริงอาจมีการแพร่ระบาดของโรคในประเทศกัมพูชาอยู่แล้วเป็นได้ เพราะไม่มีการสำรวจ ต่อมาโรคดังกล่าวได้มีการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะในเขตจังหวัดเตนิน ทางภาคใต้ของประเทศเวียดนามซึ่งเริ่มพบการแพร่ระบาดรุนแรงในปี 2560 จากการสำรวจของภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ คาดว่าผลผลิตมันสำปะหลังในเขตจังหวัดเตนิน ในปี 2560 และ 2561 มีประมาณผลผลิตลดลงประมาณ 40 % นอกจากนั้นมีการขนหัวมันสำปะหลังสดจากประเทศกัมพูชาเข้าไปจำหน่ายในโรงแป้งในเวียดนาม และเที่ยวกลับได้ขนท่อพันธุ์ที่ติดโรคใบด่างมันสำปะหลังจากเวียดนามกลับมาปลูกในประเทศกัมพูชา ทำให้โรคใบด่างมันสำปะหลังในกัมพูชาระบาดมากขึ้น (Uke ''et al''., 2018) ส่วนในประเทศไทยนั้นได้มีการเริ่มพบการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังบริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศกัมพูชา ในเดือน สิงหาคม- กันยายน ปี 2561 โดยคณะสำรวจจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ได้พบโรคใบด่างมันสำปะหลังเพียงไม่กี่ต้นในอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ อำเภอสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากนั้นในปี 2562 สมาคมโรงแป้งมันสำปะหลังไทยได้รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2562 พบการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่ 13 จังหวัด 38 อำเภอ และมีการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่ต่างๆไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากสภาวะฝนแล้ง ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่ปลูกไปเมื่อต้นฤดูฝนเดือนมีนาคมถึง พฤษภาคม ปี 2562 มีความงอกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรจำเป็นต้องซื้อท่อนพันธุ์จากพื้นที่ในเขตอำเภอเสิงสาง และครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ที่ติดโรคใบด่างมันสำปะหลังไปปลูกยังพื้นที่ต่างๆ (วิจารณ์ และเจริญศักดิ์. 2563)  
มีการรายงานตรวจพบโรคใบด่างมันสำปะหลังครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศกัมพูชา ในปี 2559 สายพันธุ์ ''Sri Lankan cassava mosaic virus'' (SLCMD) (<ref>Wang. L.X., X. Y. Cui and X.W. Wang. 2016.  First Report of Sri Lankan cassava mosaic virus Infecting Cassava in Cambodia. The American Phytopathological Society. 100: 1029. </ref>) ในความเป็นจริงอาจมีการแพร่ระบาดของโรคในประเทศกัมพูชาอยู่แล้วเป็นได้ เพราะไม่มีการสำรวจ ต่อมาโรคดังกล่าวได้มีการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะในเขตจังหวัดเตนิน ทางภาคใต้ของประเทศเวียดนามซึ่งเริ่มพบการแพร่ระบาดรุนแรงในปี 2560 จากการสำรวจของภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ คาดว่าผลผลิตมันสำปะหลังในเขตจังหวัดเตนิน ในปี 2560 และ 2561 มีประมาณผลผลิตลดลงประมาณ 40 % นอกจากนั้นมีการขนหัวมันสำปะหลังสดจากประเทศกัมพูชาเข้าไปจำหน่ายในโรงแป้งในเวียดนาม และเที่ยวกลับได้ขนท่อพันธุ์ที่ติดโรคใบด่างมันสำปะหลังจากเวียดนามกลับมาปลูกในประเทศกัมพูชา ทำให้โรคใบด่างมันสำปะหลังในกัมพูชาระบาดมากขึ้น (<ref>Uke, A., T. X. Hoat, M. V. Quan, N. V. Liem, M. Ugaki, and K. T. Natsuaki.  2018.  First Report of Sri Lankan Cassava Mosaic Virus Infecting Cassava in Vietnam. The American Phytopathologcal Society. 102:12.</ref>) ส่วนในประเทศไทยนั้นได้มีการเริ่มพบการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังบริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศกัมพูชา ในเดือน สิงหาคม- กันยายน ปี 2561 โดยคณะสำรวจจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ได้พบโรคใบด่างมันสำปะหลังเพียงไม่กี่ต้นในอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ อำเภอสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากนั้นในปี 2562 สมาคมโรงแป้งมันสำปะหลังไทยได้รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2562 พบการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่ 13 จังหวัด 38 อำเภอ และมีการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่ต่างๆไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากสภาวะฝนแล้ง ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่ปลูกไปเมื่อต้นฤดูฝนเดือนมีนาคมถึง พฤษภาคม ปี 2562 มีความงอกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรจำเป็นต้องซื้อท่อนพันธุ์จากพื้นที่ในเขตอำเภอเสิงสาง และครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ที่ติดโรคใบด่างมันสำปะหลังไปปลูกยังพื้นที่ต่างๆ (<ref>วิจารณ์ วิชชุกิจ และ เจริญศักดิ์ โรจนฤทธิ์พิเชษฐ์. 2563.  “เกษตรศาสตร์ 50” พันธุ์มันสำปะหลังทนทานต่อโรคใบด่าง (CMD). เอกสารวิชาการ. สถาบันพัฒนามันสำปะหลัง มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย.</ref>)  


== '''เชื้อสาเหตุ''' ==
== '''เชื้อสาเหตุ''' ==
สาเหตุโรคเกิดจาก : เชื้อ ''Cassava mosaic virus''
สาเหตุโรคเกิดจาก : เชื้อ ''Cassava mosaic virus''


โรคใบด่างมันสำปะหลังที่เกิดจากเชื้อไวรัสวงศ์ (Family) Geminiviridae สกุล (Genus) Begomovirus ซึ่งเป็นไวรัสที่มีอนุภาคเป็นทรงกลมคู่ (Geminate particle) มีขนาดเฉลี่ยโดยประมาณ 18x30 นาโนเมตร ลักษณะจีโนมมีจำนวน 2 โมเลกุล (Bipartite genomes) ประกอบด้วย DNA-A และ DNA-B โดยแต่ละจีโนมมีลำดับนิวคลีโอไทด์ขนาดประมาณ 2,700 เบส เป็นสายพันธุกรรมเป็นแบบดีเอ็นเอสายเดี่ยววงปิด (single stranded DNA, ssDNA) ไวรัสในวงศ์ Geminiviridae เป็นไวรัสสาเหตุโรคพืชที่สร้างความเสียหายแก่พืชทางเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น พืชตระกูลแตง มันสำปะหลัง มะเขือเทศ และฝ้ายเป็นต้น (Yadava ''et al''., 2010) นอกจากนี้ไวรัสใบด่างมันสำปะหลังยังมีพืชอาศัยที่สามารถเพื่มปริมาณสารพันธุกรรมได้ เช่น พืชในวงศ์ Euphorbiacease (สบู่ดำ และละหุ่ง) และวงศ์ Solanaceae (ยาสูบ) (Alabi ''et al''., 2008)
โรคใบด่างมันสำปะหลังที่เกิดจากเชื้อไวรัสวงศ์ (Family) Geminiviridae สกุล (Genus) Begomovirus ซึ่งเป็นไวรัสที่มีอนุภาคเป็นทรงกลมคู่ (Geminate particle) มีขนาดเฉลี่ยโดยประมาณ 18x30 นาโนเมตร ลักษณะจีโนมมีจำนวน 2 โมเลกุล (Bipartite genomes) ประกอบด้วย DNA-A และ DNA-B โดยแต่ละจีโนมมีลำดับนิวคลีโอไทด์ขนาดประมาณ 2,700 เบส เป็นสายพันธุกรรมเป็นแบบดีเอ็นเอสายเดี่ยววงปิด (single stranded DNA, ssDNA) ไวรัสในวงศ์ Geminiviridae เป็นไวรัสสาเหตุโรคพืชที่สร้างความเสียหายแก่พืชทางเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น พืชตระกูลแตง มันสำปะหลัง มะเขือเทศ และฝ้ายเป็นต้น (Yadava ''et al''., 2010) นอกจากนี้ไวรัสใบด่างมันสำปะหลังยังมีพืชอาศัยที่สามารถเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมได้ เช่น พืชในวงศ์ Euphorbiacease (สบู่ดำ และละหุ่ง) และวงศ์ Solanaceae (ยาสูบ) (<ref>Alabi, O.J., F.O. Ogbe, R. Bandyopadhyay, P.L. Kumar, A.G. Dixon, J.D. Hughes and R.A. Naidu. 2008. Alternate hosts of African cassava mosaic virus and East African cassava mosaic Cameroon virus in Nigeria. Arch Virol. 153: 1743–1747.</ref>)


== ลักษณะอาการ ==
== ลักษณะอาการ ==
ต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคจะแสดงอาการ ใบด่างเหลืองและบิดงอเสียรูปทรง อาการด่างมีหลายแบบ เช่น ด่างเขียวซีดสลับเขียวเข้ม ด่างเหลือสลับเขียว ใบหงิก หรือ หงิกเหลือง ใบย่อยบิดเบี้ยวหงิกงอ โค้งเสียรูปทรง ใบอ่อนและใบที่เจริญใหม่มีขนาดเล็กลง ยอดหงิก ต้นแคระแกร็น เจริญเติบโตได้ช้า หัวมีขนาดเล็กกว่าปกติ โดยมีลักษณะที่สังเกตได้ง่ายที่สุดอยู่ที่ใบ โดยใบของต้นมันสำปะหลังจะหงิกงอ พื้นใบไม่เรียบ สีออกด่างเขียวสลับกับเหลือง ลักษณะความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับอายุของต้นมันสำปะหลังขณะที่เชื้อเข้าทำลาย หากต้นมันสำปะหลังมีอายุน้อย จะพบอาการรุนแรงและชัดเจน หากต้นมันสำปะหลังได้รับเชื้อไว้รัสเมื่ออายุมาก อาการของโรคจะไม่รุนแรง ผลผลิตหัวสดอาจไม่ลดลงมาก นอกจากนี้ระดับความรุนแรงของโรคยังขึ้นอยู่กับพันธุ์มันสำปะหลังที่ปลูกอีกด้วย (ปิยะ และคณะ, 2562)
ต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคจะแสดงอาการ ใบด่างเหลืองและบิดงอเสียรูปทรง อาการด่างมีหลายแบบ เช่น ด่างเขียวซีดสลับเขียวเข้ม ด่างเหลือสลับเขียว ใบหงิก หรือ หงิกเหลือง ใบย่อยบิดเบี้ยวหงิกงอ โค้งเสียรูปทรง ใบอ่อนและใบที่เจริญใหม่มีขนาดเล็กลง ยอดหงิก ต้นแคระแกร็น เจริญเติบโตได้ช้า หัวมีขนาดเล็กกว่าปกติ โดยมีลักษณะที่สังเกตได้ง่ายที่สุดอยู่ที่ใบ โดยใบของต้นมันสำปะหลังจะหงิกงอ พื้นใบไม่เรียบ สีออกด่างเขียวสลับกับเหลือง ลักษณะความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับอายุของต้นมันสำปะหลังขณะที่เชื้อเข้าทำลาย หากต้นมันสำปะหลังมีอายุน้อย จะพบอาการรุนแรงและชัดเจน หากต้นมันสำปะหลังได้รับเชื้อไว้รัสเมื่ออายุมาก อาการของโรคจะไม่รุนแรง ผลผลิตหัวสดอาจไม่ลดลงมาก นอกจากนี้ระดับความรุนแรงของโรคยังขึ้นอยู่กับพันธุ์มันสำปะหลังที่ปลูกอีกด้วย (<ref>ปิยะ กิตติภาดากุล, อัญชนา ท่านเจริญ, วันวิสา ศิริวรรณ์ และ สมบุญ ภาณุวัฒน์สุข.  2562.  ไทยอาจต้องเลิกปลูกมันสำปะหลังหากไม่สามารถหยุดโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ (ตอนที่ 1). เคหการเกษตร. 43(7): 171-174.</ref>)


== การประเมินโรค ==
== การประเมินโรค ==
การประเมินโรคใบด่างมันสำปะหลังมีการประเมินอัตราการเกิดโรคในมันสำปะหลังที่มีอายุ 1 เดือน และทำการประเมินทุกเดือนจนกระทั่งมันสำปะหลังมีอายุครบ 4 เดือน การประเมินโรคทำโดยสำรวจมันสำปะหลังทุต้น จดบันทึกจำนวนต้นที่เป็นโรค ลักษณะอาการ ระดับความรุนแรง สาเหตุการติดเชื้อไวรัส (ท่อนพันธุ์หรือแมลงหวี่ขาว) โดยอ้างอิงจาก (Waller et al., 2002)
การประเมินโรคใบด่างมันสำปะหลังมีการประเมินอัตราการเกิดโรคในมันสำปะหลังที่มีอายุ 1 เดือน และทำการประเมินทุกเดือนจนกระทั่งมันสำปะหลังมีอายุครบ 4 เดือน การประเมินโรคทำโดยสำรวจมันสำปะหลังทุต้น จดบันทึกจำนวนต้นที่เป็นโรค ลักษณะอาการ ระดับความรุนแรง สาเหตุการติดเชื้อไวรัส (ท่อนพันธุ์หรือแมลงหวี่ขาว) โดยอ้างอิงจาก (<ref>Waller, J.M., J.M. Lenné and S.J. Waller. 2002. Plant Pathologist’s Pocketbook. CABI Pub., New York, USA. 528 pp. (การประเมินโรค)</ref>)


อัตราการเกิดโรค = จำนวนพืชที่เป็นโรค x 100
อัตราการเกิดโรค = จำนวนพืชที่เป็นโรค x 100
บรรทัดที่ 22: บรรทัดที่ 22:
                             จำนวนพืชทั้งหมด
                             จำนวนพืชทั้งหมด


       ระดับความรุนแรงของโรค (Disease severity) อ้างอิงจาก Terry (1976) ซึ่งแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 5 ระดับ คือ ระดับ 1 ไม่แสดงอาการของโรค (Highly resistant) ระดับ 2 แสดงอาการด่างเล็กน้อยบนแผ่นใบ (Moderately resistant) ระดับ 3 แสดงอาการด่างเต็มบนแผ่นใบ และใบเริ่มม้วน ลดรูป (Tolerant) ระดับ 4  แสดงอาการด่างทั่วทั้งใบ  ใบบิดม้วนงอ เริ่มลดรูป (Susceptible) และระดับ 5 แสดงอาการใบบิดม้วนงอ ใบลดรูปอย่างรุนแรง (Highly susceptible) (วันวิสา และคณะ 2563)
       ระดับความรุนแรงของโรค (Disease severity) อ้างอิงจาก Terry (1976) <ref>Terry,  E.  1976.  Description  and evaluation  of  cassava mosaic  disease  in Africa. In  Proc.  An Interdisciplinary Workshop. Ibadan, Nigeria. pp. 53–54. (ระดับความรุนแรงโรค)</ref>ซึ่งแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 5 ระดับ คือ ระดับ 1 ไม่แสดงอาการของโรค (Highly resistant) ระดับ 2 แสดงอาการด่างเล็กน้อยบนแผ่นใบ (Moderately resistant) ระดับ 3 แสดงอาการด่างเต็มบนแผ่นใบ และใบเริ่มม้วน ลดรูป (Tolerant) ระดับ 4  แสดงอาการด่างทั่วทั้งใบ  ใบบิดม้วนงอ เริ่มลดรูป (Susceptible) และระดับ 5 แสดงอาการใบบิดม้วนงอ ใบลดรูปอย่างรุนแรง (Highly susceptible) (<ref>วันวิสา ศิริวรรณ์.  2561.  โรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง. ที่มา: <nowiki>https://www.tapiocathai.org/P.html</nowiki>. วันที่สืบค้น 11 กุมภาพันธ์ 2563.</ref>)


== การแพร่ระบาด ==
== การแพร่ระบาด ==
การแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสําปะหลังสามารถถ่ายทอดผ่านทางแมลงหวี่ขาวยาสูบ (Whitefly; Bemisia  tabaci (Gennadius) Hemiptera: Aleyrodidae) ซึ่งเป็นการถ่ายทอดไวรัสแบบ  persistent  และท่อนพันธุ์ที่เป็นโรค  (Dubern, 1994; Tokunaga et al., 2018) การแพร่กระจายของโรคสามารถเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว  และเป็นบริเวณกว้าง จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนย้ายท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคร่วมกับการแพร่กระจายของแมลงหวี่ขาว รายงานพบว่า ในแมลงหวี่ขาวเคลื่อนที่ได้โดยอาศัยแรงลมในอัตรา  100 กิโลเมตรต่อปี  หรือ  0.2 เมตรต่อวินาที (Legg,  2010) แมลงหวี่ขาวเป็นแมลงศัตรูพืชที่มีพืชอาศัยกว้าง เช่น กะเพรา โหระพา ผักชีฝรั่ง พืชตระกูลพริก มะเขือ มันฝรั่ง และพืชตระกูลแตง (Shah and Liu, 2013) เป็นต้น และถูกจัดว่าติดอันดับ 1 ใน 10 ของแมลงศัตรูพืชที่อันตรายที่สุด  (Riordan,  2019)
การแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสําปะหลังสามารถถ่ายทอดผ่านทางแมลงหวี่ขาวยาสูบ (Whitefly; Bemisia  tabaci (Gennadius) Hemiptera: Aleyrodidae) ซึ่งเป็นการถ่ายทอดไวรัสแบบ  persistent  และท่อนพันธุ์ที่เป็นโรค  (<ref>Dubern J, 1994. Transmission of African cassava mosaic geminivirus by the whitefly (Bemisia tabaci). Tropical Science, 34(1):82-91</ref>) การแพร่กระจายของโรคสามารถเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว  และเป็นบริเวณกว้าง จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนย้ายท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคร่วมกับการแพร่กระจายของแมลงหวี่ขาว รายงานพบว่า ในแมลงหวี่ขาวเคลื่อนที่ได้โดยอาศัยแรงลมในอัตรา  100 กิโลเมตรต่อปี  หรือ  0.2 เมตรต่อวินาที (Legg,  2010) แมลงหวี่ขาวเป็นแมลงศัตรูพืชที่มีพืชอาศัยกว้าง เช่น กะเพรา โหระพา ผักชีฝรั่ง พืชตระกูลพริก มะเขือ มันฝรั่ง และพืชตระกูลแตง (Shah and Liu, 2013) เป็นต้น และถูกจัดว่าติดอันดับ 1 ใน 10 ของแมลงศัตรูพืชที่อันตรายที่สุด  (Riordan,  2019)


== '''การป้องกันกำจัด''' ==
== '''การป้องกันกำจัด''' ==

รายการนำทางไซต์