ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง"

ไม่มีคำอธิบายอย่างย่อ
(สร้างหน้าด้วย "=== '''ข้อมูลที่จำเป็นในการพิจารณาศักยภาพพื้นที่ปลูก''' === ม...")
 
บรรทัดที่ 4: บรรทัดที่ 4:
=== '''เกณฑ์ที่เหมาะสมในการปลูกมันสำปะหลัง''' ===
=== '''เกณฑ์ที่เหมาะสมในการปลูกมันสำปะหลัง''' ===


# '''สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม''' มันสำปะหลังเจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบร้อนชื้นที่มีอุณหภูมิอากาศ 25-35 องศาเซลเซียส แต่ที่เหมาะสมคืออุณหภูมิอากาศ 25-29 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิดินประมาณ 30 องศาเซลเซียส (FAO, 2019) ถ้าอุณภูมิอากาศเฉลี่ยต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส จะมีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต (Onwueme, 1978; Cock, 1985) อุณหภูมิอากาศต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส หรือมีหิมะและน้ำค้างแข็ง จะทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงักและไม่แนะนำให้ปลูกมันสำปะหลัง (Cock, 1985; FAO, 2019) นอกจากนี้อุณหภูมิที่สูงเกินไปก็ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช จากการคาดการณ์การเกิดสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ผลผลิตของมันสำปะหลังลดลงถึง 43 เปอร์เซ็นต์ในอนาคต (Boonpradub et al., 2009)  พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังควรมีการกระจายของปริมาณน้ำฝน 1,000-3,000 มิลลิเมตรต่อปี สามารถทนแล้งได้นาน 3-4 เดือนหากเกิดฝนทิ้งช่วงหรือมีปริมาณน้ำฝนต่ำเนื่องจากมันสำปะหลังมีระบบรากลึกซึ่งสามารถดูดซับน้ำใต้ดินมาใช้ได้ รวมทั้งมีกลไกในการทนต่อสภาพแห้งแล้งเป็นเวลานาน เช่น ทิ้งใบและชะลอการเจริญเติบโต (Onwueme, 1978; CIAT, 1980; Onwueme and Sinha, 1991; FAO, 2019) มันสำปะหลังจึงเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีการกระจายของปริมาณน้ำฝนไม่สม่ำเสมอตลอดปี ถึงแม้ว่ามันสำปะหลังจะเป็นพืชทนแล้งแต่บริเวณที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยน้อยกว่า 500-600 มิลลิเมตรต่อปี เช่น เขตทะเลทราย ไม่เหมาะสมต่อการปลูกมันสำปะหลัง (CIAT, 1980; Cock, 1985) นอกจากนี้มันสำปะหลังไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง (Onwueme and Sinha, 1991) ดังนั้นในสภาพพื้นที่ที่มีฝนตกชุกสลับกับฤดูแล้งสั้น ๆ เช่น พื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคใต้ของประเทศไทยที่มีฝนตกเป็นระยะเวลานานถึง 8 เดือน จึงไม่เหมาะสมสำหรับการปลูกมันสำปะหลัง เพราะอาจทำให้หัวเน่าเสียหายและต้นตายได้ (Boonpradub et al., 2009)
# '''สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม''' มันสำปะหลังเจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบร้อนชื้นที่มีอุณหภูมิอากาศ 25-35 องศาเซลเซียส แต่ที่เหมาะสมคืออุณหภูมิอากาศ 25-29 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิดินประมาณ 30 องศาเซลเซียส <ref>FAO. (2019). ''The state of food security and nutrition in the world 2019: safeguarding against economic slowdowns and downturns'' (Vol. 2019). Food & Agriculture Org.</ref> ถ้าอุณภูมิอากาศเฉลี่ยต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส จะมีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต (Onwueme, 1978; Cock, 1985) อุณหภูมิอากาศต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส หรือมีหิมะและน้ำค้างแข็ง จะทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงักและไม่แนะนำให้ปลูกมันสำปะหลัง (Cock, 1985; FAO, 2019) นอกจากนี้อุณหภูมิที่สูงเกินไปก็ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช จากการคาดการณ์การเกิดสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ผลผลิตของมันสำปะหลังลดลงถึง 43 เปอร์เซ็นต์ในอนาคต (Boonpradub et al., 2009)  พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังควรมีการกระจายของปริมาณน้ำฝน 1,000-3,000 มิลลิเมตรต่อปี สามารถทนแล้งได้นาน 3-4 เดือนหากเกิดฝนทิ้งช่วงหรือมีปริมาณน้ำฝนต่ำเนื่องจากมันสำปะหลังมีระบบรากลึกซึ่งสามารถดูดซับน้ำใต้ดินมาใช้ได้ รวมทั้งมีกลไกในการทนต่อสภาพแห้งแล้งเป็นเวลานาน เช่น ทิ้งใบและชะลอการเจริญเติบโต (Onwueme, 1978; CIAT, 1980; Onwueme and Sinha, 1991; FAO, 2019) มันสำปะหลังจึงเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีการกระจายของปริมาณน้ำฝนไม่สม่ำเสมอตลอดปี ถึงแม้ว่ามันสำปะหลังจะเป็นพืชทนแล้งแต่บริเวณที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยน้อยกว่า 500-600 มิลลิเมตรต่อปี เช่น เขตทะเลทราย ไม่เหมาะสมต่อการปลูกมันสำปะหลัง (CIAT, 1980; Cock, 1985) นอกจากนี้มันสำปะหลังไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง (Onwueme and Sinha, 1991) ดังนั้นในสภาพพื้นที่ที่มีฝนตกชุกสลับกับฤดูแล้งสั้น ๆ เช่น พื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคใต้ของประเทศไทยที่มีฝนตกเป็นระยะเวลานานถึง 8 เดือน จึงไม่เหมาะสมสำหรับการปลูกมันสำปะหลัง เพราะอาจทำให้หัวเน่าเสียหายและต้นตายได้ (Boonpradub et al., 2009)
# '''สภาพพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม''' มันสำปะหลังสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีในเขตร้อนและกึ่งร้อน ตั้งแต่บริเวณเส้นรุ้งที่ 30 องศาเหนือถึง 30 องศาใต้ แต่มีการปลูกแพร่หลายระหว่าง 15 องศาเหนือ ถึง 15 องศาใต้ เนื่องจากให้ผลผลิตดี (Onwueme, 1978; Cock, 1985) สำหรับประเทศไทยอยู่ในระหว่างเส้นรุ้งที่ 6-20 องศาเหนือ จึงสามารถปลูกมันสำปะหลังได้ทุกภาคยกเว้นภาคใต้ซึ่งมีฝนตกชุก มันสำปะหลังสามารถเจริญเติบโตได้ในภูมิประเทศที่เป็นที่ราบจนถึงพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,800-2,000 เมตร เช่นเทือกเขาแอนดีส (Onwueme, 1978; FAO, 2019) สำหรับสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมคือที่ดอนหรือบริเวณที่ราบขั้นบันไดระดับกลาง (Middle terrace) ลักษณะดินเป็นดินร่วนถึงร่วนปนทราย มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง ซึ่งจะทำให้มันสำปะหลังลงหัวได้ดีและเก็บเกี่ยวได้ง่าย เช่น พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (กรมพัฒนาที่ดิน, 2546) นอกจากนี้แปลงปลูก มันสำปะหลังควรเป็นดินที่ไม่มีกรวดหรือดินเค็ม (Onwueme and Sinha, 1991) มีค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH) 4.0-8.0 (USDA, 2005) โดยค่า pH ที่เหมาะสมคือ 4.5 ถึง 6.5 (Onwueme and Sinha, 1991) ซึ่งมันสำปะหลังสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพดินที่มีความเป็นกรดสูง (ค่า pH ต่ำถึง 4.5) โดยไม่มีผลกระทบต่อผลผลิต แต่ไม่ทนต่อสภาพดินที่เป็นด่างสูง หากค่า pH สูงกว่า 8 จะทำให้การเจริญเติบโตและผลผลิตลดลง (USDA, 2005; มูลนิธิพัฒนามันสําปะหลังแห่งประเทศไทย, 2546)
# '''สภาพพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม''' มันสำปะหลังสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีในเขตร้อนและกึ่งร้อน ตั้งแต่บริเวณเส้นรุ้งที่ 30 องศาเหนือถึง 30 องศาใต้ แต่มีการปลูกแพร่หลายระหว่าง 15 องศาเหนือ ถึง 15 องศาใต้ เนื่องจากให้ผลผลิตดี (Onwueme, 1978; Cock, 1985) สำหรับประเทศไทยอยู่ในระหว่างเส้นรุ้งที่ 6-20 องศาเหนือ จึงสามารถปลูกมันสำปะหลังได้ทุกภาคยกเว้นภาคใต้ซึ่งมีฝนตกชุก มันสำปะหลังสามารถเจริญเติบโตได้ในภูมิประเทศที่เป็นที่ราบจนถึงพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,800-2,000 เมตร เช่นเทือกเขาแอนดีส (Onwueme, 1978; FAO, 2019) สำหรับสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมคือที่ดอนหรือบริเวณที่ราบขั้นบันไดระดับกลาง (Middle terrace) ลักษณะดินเป็นดินร่วนถึงร่วนปนทราย มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง ซึ่งจะทำให้มันสำปะหลังลงหัวได้ดีและเก็บเกี่ยวได้ง่าย เช่น พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (กรมพัฒนาที่ดิน, 2546) นอกจากนี้แปลงปลูก มันสำปะหลังควรเป็นดินที่ไม่มีกรวดหรือดินเค็ม (Onwueme and Sinha, 1991) มีค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH) 4.0-8.0 (USDA, 2005) โดยค่า pH ที่เหมาะสมคือ 4.5 ถึง 6.5 (Onwueme and Sinha, 1991) ซึ่งมันสำปะหลังสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพดินที่มีความเป็นกรดสูง (ค่า pH ต่ำถึง 4.5) โดยไม่มีผลกระทบต่อผลผลิต แต่ไม่ทนต่อสภาพดินที่เป็นด่างสูง หากค่า pH สูงกว่า 8 จะทำให้การเจริญเติบโตและผลผลิตลดลง (USDA, 2005; มูลนิธิพัฒนามันสําปะหลังแห่งประเทศไทย, 2546)
== อ้างอิง ==
วิจารณ์ วิชชุกิจ, เจริญศักดิ์ โรจนฤทธิ์พิเชษฐ์, ปิยะวุฒิ พูลสงวน, เอ็จ สโรบล, จำลอง เจียมจำนรรจา, ประภาส ช่างเหล็ก, ปิยะ กิตติภาดากุล, นิพนธ์ ทวีชัย, กล้าณรงค์ ศรีรอต และ เกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ. 2547. แนะนำพันธุ์มันสำปะหลัง MKU(Boonpradub et al., 2009; Cock, 1982; I. Onwueme & Sinha, 1991; I. C. Onwueme, 1978)C34-114-206 (ห้วยบง 60). ใน รายงานคณะกรรมการบริหารสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. น. 64-66. นคราชสีมา: [ม.ป.ท.].
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2556) เทคโนโลยี 52 สัปดาห์ มันสำปะหลัง. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์:กรุงเทพฯ.
Howeler, R., Lutaladio, N., & Thomas, G. (2013). Save and grow: cassava. A guide to sustainable production intensification. Fao.
Boonpradub, S., Ratanasriwong, S., Sarawat, V., Kapetch, P., Ek-un, K., Damrhikhemtrakul, W., . . . Technology. (2009). Impact of global warming on three major field crops production of Thailand (Thai). 14(7), 626-649.
Cock, J. H. J. S. (1982). Cassava: a basic energy source in the tropics. 218(4574), 755-762.
Cock, J. H. (1985). Cassava: new potential for a neglected crop Westview Pres s Boulder.
FAO. (2019). ''The state of food security and nutrition in the world 2019: safeguarding against economic slowdowns and downturns'' (Vol. 2019). Food & Agriculture Org.
Onwueme, I., & Sinha, T. (1991). ''Field crop production in tropical Africa: principles and practice'': CTA.
Onwueme, I. C. (1978). ''The tropical tuber crops: yams, cassava, sweet potato, and cocoyams'': John Wiley and sons.
100

การแก้ไข