ในอดีตปัญหาเกี่ยวกับแมลงศัตรูที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลังมีค่อนข้างน้อย เนื่องจากมันสำปะหลังเป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนทานและปรับตัวได้ดี แต่ปัจจุบันมีการระบาดของเพลี้ยแป้งสีชมพู (เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง) ในมันสำปะหลังและกลายเป็นปัญหาที่สำคัญ โดยมีรายงานการระบาดเมื่อต้นปี 2551 และแพร่กระจายไปยังแหล่งปลูกมันสำปะหลังที่สำคัญ เช่น จังหวัดกำแพงเพชร ระยอง ชลบุรี สระแก้ว ปราจีนบุรี และนครราชสีมา สาเหตุสำคัญของการระบาดอย่างกว้างขว้างคือ การใช้ท่อนพันธุ์ที่มีเพลี้ยแป้งไปปลูกโดยไม่มีการจัดการท่อนพันธุ์ให้ปราศจากแมลงก่อน ทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังในปี 2552 ที่คาดว่าจะมีถึง 27 ล้านตัน ลดลงเหลือประมาณ 19 ล้านตันเท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจมันสำปะหลังเป็นอย่างมาก (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)

เพลี้ยแป้ง

การเข้าทำลายต้นมันสำปะหลังของตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยแป้ง (Mealybugs) โดยการใช้ส่วนของปาก (stylet) ที่มีลักษณะเป็นท่อยาวดูดกินน้ำเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ เช่น ใบ ยอด ขณะเดียวกันเพลี้ยแป้งจะถ่ายมูลทำให้เกิดราดำบนต้นพืช ทำให้พืชสังเคราะห์แสงได้น้อยลง เจริญเติบโตได้ไม่เติมที่ ลำต้นมีช่วงข้อถี่และบิดงอ ยอดแห้งตาย หรือยอดแตกพุ่ม มีผลกระทบต่อการสร้างหัว และหากระบาดในขณะพืชมีอายุน้อยหรือต้นขนาดเล็ก อาจทำให้ต้นตายได้ พบเพลี้ยแป้งระบาดมากในช่วงฤดูแล้ง นอกจากเพลี้ยแป้งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทั้งด้านปริมาณและคุณภาพแล้วยังทำให้ขาดแคลนท่อนพันธุ์อีกด้วย เพลี้ยแป้งที่เข้าทำลายมันสำปะหลังมี 4 ชนิด คือ เพลี้ยแป้งลาย เพลี้ยแป้งแจ๊คเบียดเลย์ เพลี้ยแป้งสีเขียว และเพลี้ยแป้งสีชมพู (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)

เพลี้ยแป้งลาย

เพลี้ยแป้งลาย (Striped mealybug; Ferrisia virgata Cockerell) มีลักษณะรูปร่างลำตัวคล้ายลิ่ม ผนังลำตัวสีเทา มีผงแป้งปกคลุมลำตัวยาวเป็นเงาคล้ายเส้นใยแก้ว มีแถบดำบนลำตัว 2 แถบชัดเจน ปลายท้องมีหางคล้ายเส้นแป้ง 2 เส้น ยาวครึ่งหนึ่งของลำตัว พบการระบาดของเพลี้ยแป้งชนิดนี้ทั่วไปในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง นอกจากนี้ยังพบการเข้าทำลายในพืชหลายชนิด เช่น มะละกอ น้อยหน่า และไม้ดอกบางชนิด เช่น ชบา เป็นต้น ที่ผ่านมาการระบาดของเพลี้ยแป้งชนิดนี้ยังไม่ถึงระดับความเสียหายทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีการควบคุมด้วยศัตรูธรรมชาติคือตัวห้ำและตัวเบียนอย่างสมดุล (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)

 
เพลี้ยแป้งลาย (ภาพได้รับอนุญาตจาก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)

เพลี้ยแป้งแจ๊คเบียดเลย์ (เพลี้ยแป้งสีเทา)

เพลี้ยแป้งแจ๊คเบียดเลย์ (Jack-beardsley mealybug; Pseudococcus jackbeardsleyi Gimpel & Miller) มีลักษณะลำตัวรูปไข่และค่อนข้างแบน ผนังลำตัวสีเทาอมชมพู มีผงแป้งสีขาวปกคลุมลำตัว ด้านข้างลำตัวมีเส้นแป้งเรียงกันจำนวนมาก เส้นแป้งที่ปลายส่วนท้องยาวกว่าเส้นแป้งข้างลำตัว พบระบาดทั่วไปในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง ชอบอยู่บริเวณโคนต้นหรือในดิน (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)

 
เพลี้ยแป้งแจ๊คเบียดเลย์ (ภาพได้รับอนุญาตจาก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)

เพลี้ยแป้งเขียว

เพลี้ยแป้งสีเขียว (Madeira mealybug; Phenococcus madeiresis Green) มีลักษณะลำตัวรูปไข่และค่อนข้างแบน ผนังลำตัวสีเขียวอมเหลือง มีผงแป้งสีขาวปกคลุมบาง ๆ บนลำตัว ด้านข้างลำตัวมีเส้นแป้งสั้น เส้นแป้งที่ปลายส่วนท้องยาวกว่าเส้นแป้งข้างลำตัว และที่ลำตัวมีสันนูน 3 แนว ตามความยาวของลำตัว เส้นที่นูนที่สุดอยู่ตรงกลางลำตัว ถุงไข่ของเพลี้ยแป้งสีเขียวอยู่ส่วนหลังบนลำตัว อายุของตัวเต็มวัยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ หากที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส จะมีอายุประมาณ 30 วัน ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส จะมีอายุประมาณ 46 วัน เพลี้ยแป้งสีเขียวชอบดูดกินอยู่บริเวณใบแก่ พบระบาดในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังบางพื้นที่ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)

 
เพลี้ยแป้งสีเขียว (ภาพได้รับอนุญาตจาก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
 
สภาพแปลงที่เพลี้ยแป้งสีชมพูเข้าทำลายอย่างรุนแรง (ภาพได้รับอนุญาตจาก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)

เพลี้ยแป้งสีชมพู

เพลี้ยแป้งสีชมพู (Pink mealybug; Phenococcus manihoti Matile&Ferrero) มีลักษณะลำตัวรูปไข่ ผนังลำตัวสีชมพู มีผงแป้งสีขาวปกคลุมลำตัว ด้านข้างลำตัวมีเส้นแป้งสั้นหรือไม่ปรากฏให้เห็น เส้นแป้งที่ปลายส่วนท้องค่อนข้างสั้น ขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ วางไข่อยู่ในถุงไข่ อยู่เป็นกลุ่ม เพลี้ยแป้งชนิดนี้เป็นชนิดที่สร้างความเสียหายแก่มันสำปะหลังมากที่สุด พบระบาดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2516 ที่ประเทศคองโก มีการใช้แตนเบียนควบคุมโดยใช้เวลานานกว่า 10 ปี จึงสามารถควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งสีชมพูได้ สำหรับประเทศไทยเพลี้ยแป้งชนิดนี้เริ่มระบาดในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังเมื่อปี พ.ศ. 2551 และต่อมาได้สร้างความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลังอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายในระดับเศรษฐกิจในทุกพื้นที่ที่มีการปลูกมันสำปะหลัง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)

 
เพลี้ยแป้งชมพูหรือเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง (ภาพได้รับอนุญาตจาก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
 
สภาพแปลงที่พบการระบาดของเพลี้ยแป้งสีชมพู (ภาพได้รับอนุญาตจาก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
 
ยอดของต้นมันสำปะหลังที่ถูกเพลี้ยแป้งสีชมพูเข้าทำลาย(ภาพได้รับอนุญาตจาก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)

การประเมินการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง

โดยทั่วไปหลังปลูกมันสำปะหลัง 1 เดือน เกษตรกรจะต้องมีการสำรวจการระบาดของเพลี้ยแป้ง ทุก ๆ 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะตามแนวขอบแปลงที่ติดกับแปลงมันสำปะหลังข้างเคียง ประมาณ 3 แถวแรก โดยตรวจนับทุกต้น ถ้าพบต้นมันสำปะหลังแสดงอาการยอดหงิก แสดงว่ามีการระบาดของเพลี้ยแป้งเกิดขึ้น ให้สำรวจเพิ่ม โดยแปลงที่มีขนาดไม่เกิน 10 ไร่ ให้สำรวจอย่างน้อย 50 ต้น เดินสำรวจแถวเว้นแถว แถวละ 10 ต้น ถ้าแปลงมีขนาดใหญ่กว่า 10 ไร่ ให้เพิ่มจำนวนต้นที่สำรวจ และให้คะแนนระดับความรุนแรงตามจำนวนเพลี้ยแป้งที่ตรวจพบ ดังตารางที่ 13.1

ตาราง หลักเกณฑ์การให้คะแนนระดับความรุนแรงตามจำนวนเพลี้ยแป้งที่ตรวจพบ
ระดับความรุนแรง จำนวนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังเฉลี่ย (ตัว/ต้น)
0 0
1 1 - 25
2 26 - 50
3 51 - 75
4 76 - 100
5 มากกว่า 100

การประเมินการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้งในแปลงมันสำปะหลังดังกล่าว จะทำให้สามารถป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)[1]

การป้องกันกำจัด

การป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้งในแปลงมันสำปะหลังต้องเริ่มตั้งแต่การไถพรวนเตรียมพื้นที่ให้ดีก่อนปลูก เพื่อให้มันสำปะหลังงอกได้ดี เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเพลี้ยแป้งเข้าทำลายได้น้อยลง แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารในกลุ่ม neonicotinoid ก่อนปลูก เช่น สารอิมิดาคลอพริด (imidacloprid) ไดโนทีฟูแรน (dinotefuran) หรือไทอะมีโทแซม (thiamethoxam) เป็นต้น หลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ที่จะทำให้มันสำปะหลังกระทบแล้งยาวนาน หากเพลี้ยแป้งเข้าทำลายต้นมันสำปะหลังในขณะยังเล็กอยู่ ให้เก็บส่วนของพืชที่มีเพลี้ยแป้งอยู่ไปเผาทำลายทิ้ง และ/หรือใช้สารฆ่าแมลงในกลุ่ม neonicotinoid ฉีดพ่น

การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันโรคและแมลง

ท่อนพันธุ์ปลูกควรสะอาดปราศจากโรคและแมลงเข้าทำลาย หากท่อนพันธุ์ที่ใช้มาจากแหล่งที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้งไม่แน่ใจว่าท่อนพันธุ์ปลอดจากเพลี้ยแป้งหรือไม่ หรือในพื้นที่ปลูกโดยรอบมีการระบาดของเพลี้ยแป้งอยู่ ควรแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีที่แนะนำนาน 5-10 นาที ก่อนปลูกเสมอ โดยไม่ควรแช่นานเกิน 10 นาที เนื่องจากอาจทำให้มันสำปะหลังแสดงอาการเป็นพิษจากฤทธิ์ของสารเคมี และทำให้สิ้นเปลืองเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่

ตารางสารเคมีสำหรับแช่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูก

สารเคมี อัตรา (กรัม/น้ำ 20 ลิตร) แช่นาน (นาที)
ไทอะมีโทแซม 25% WG 4 5-10
อิมิดาคลอพริด 70% WG 4 5-10
ไดโนทีฟูแรน 10% WP 40 5-10

วิธีการผสมสารเคมีแช่ท่อนพันธุ์ ทำได้โดยการผสมสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งข้างต้นตามอัตราที่กำหนด โดยปกติการปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ ใช้น้ำแช่ท่อนพันธุ์ประมาณ 80 ลิตร เมื่อแช่ท่อนพันธุ์ไป 3-4 ครั้ง น้ำในถังแช่จะลดลง สามารถผสมสารเคมีในอัตราเดิมหรือความเข้มข้นเท่าเดิมเทเพิ่มลงไปในถังแช่ท่อนพันธุ์ได้โดยไม่ทำให้ความเข้มข้นของสารเคมีเปลี่ยนแปลง

สำหรับการปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งมีแรงงานพร้อม สามารถใช้ภาชนะใส่น้ำขนาด 1,000-2,000 ลิตร แล้วคำนวณปริมาณสารเคมีให้ได้ความเข้มข้นตามอัตราที่แนะนำแล้วแช่ท่อนพันธุ์ตามเวลาที่กำหนด จะช่วยให้ทำงานได้สะดวกรวดเร็วขึ้น

การแช่ท่อนพันธุ์นาน 5-10 นาที จะช่วยกำจัดเพลี้ยแป้งที่ติดมากับท่อนพันธุ์และสารเคมีจะแทรกซึมเข้าไปในท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง หลังจากงอกเป็นต้นแล้วสารฆ่าแมลงจะมีฤทธิ์ป้องกันการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้งได้นานประมาณ 1 เดือน

ต้นทุนการแช่สารเคมีป้องกันเพลี้ยแป้งประมาณ 20 บาท/ไร่ ใช้เวลาในการปฏิบัติงานในขั้นตอนนี้เพิ่มขึ้นจากการไม่แช่ท่อนพันธุ์ประมาณ 30- 60 นาทีต่อพื้นที่ปลูก 1 ไร่ (ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแรงงานและอุปกรณ์แช่ท่อนพันธุ์)

การจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังโดยชีววิธี

ในสภาพนิเวศน์การเกษตรโดยทั่วไปมีศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยแป้งอยู่หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีศักยภาพในการเป็นศัตรูธรรมชาติที่แตกต่างกัน จึงต้องมีการสำรวจและประเมินประสิทธิภาพของศัตรูธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อพบว่าชนิดใดมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมศัตรูพืช ก็จะนำมาศึกษาเพิ่มเติม เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์โดยการเลี้ยงเพิ่มปริมาณสำหรับนำไปปล่อยในพื้นที่ปลูกต่อไป ซึ่งอาจดำเนินการกับศัตรูธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น แต่ถ้าพบว่ามีศัตรูธรรมชาติจากต่างถิ่นที่มีประสิทธิภาพสูงก็สามารถนำศัตรูธรรมชาติชนิดนั้น ๆ เข้ามาโดยผ่านขั้นตอนอย่างถูกต้องและมีการศึกษาผลกระทบก่อนที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการควบคุมศัตรูพืช ซึ่งจะเรียกการควบคุมวิธีนี้ว่า การควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี แมลงศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังที่มีศักยภาพ และสามารถนำมาเลี้ยงขยายเพิ่มปริมาณ เพื่อใช้ในการควบคุมเพลี้ยแป้งโดยชีววิธี ได้แก่

ด้วงเต่า  จากการสำรวจพบด้วงเต่า ซึ่งเป็นตัวห้ำกินเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังหลายชนิด เช่น ด้วงเต่าลายหยัก  (Menochilus sexmoculotus (Eobricius)) ตัวเต็มวัยเพศเมียและเพศผู้กินเพลี้ยแป้งสีชมพูได้เฉลี่ย 7.9 และ 6.7 ตัว/วัน ตามลำดับ ด้วงเต่าสีส้ม  Microspis discolor (Fabricus)  กินเพลี้ยแป้งสีชมพูได้เฉลี่ย 9.9 และ 8.2 ตัว/วัน ตามลำดับ ด้วงเต่าบรูมอยเดส  Brumoides sp. กินเพลี้ยแป้งสีชมพู ได้เฉลี่ย 16.8 ตัว/วัน


แมลงช้างปีกใส เป็นศัตรูธรรมชาติที่สำคัญชนิดหนึ่งของเพลี้ยแป้ง ในสภาพธรรมชาติพบแมลงชนิดนี้ดำรงชีวิตโดยการเป็นตัวห้ำ โดยเฉพาะในช่วงของระยะตัวอ่อนเข้าทำลายเหยื่อโดยใช้ปากที่มีเขี้ยวยาวดูดกินน้ำเลี้ยงจากตัวเหยื่อ จนกระทั่งเหยื่อแห้งตาย นำไปใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืชได้หลายชนิด เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ  ไร  ตัวอ่อนแมลงหวี่ขาว ไข่เพลี้ยจักจั่น  เพลี้ยหอย และเพลี้ยแป้ง  แมลงช้างปีกใส ที่สำรวจพบในแปลงมันสำปะหลัง ส่วนใหญ่เป็นชนิด Plesiochrysa ramburi (Schneider) จากการศึกษาถึงประสิทธิภาพในการควบคุมเพลี้ยแป้งของแมลงช้างปีกใส พบว่าตลอดช่วงเวลาของตัวอ่อนในระยะ 11 – 13 วัน สามารถทำลายเพลี้ยแป้งได้ เฉลี่ย 420 ตัว

การใช้แมลงช้างปีกใสในการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง การใช้แมลงช้างปีกใสควบคุมเพลี้ยแป้งสามารถทำได้ 2 วิธีคือ ให้แขวนซองหรือถุงพลาสติกบรรจุไข่แมลงช้างปีกใสบนต้นมันสำปะหลังและแย้มปากถุงไว้ เพื่อให้ตัวอ่อนของแมลงที่ฟักออกจากไข่สามารถออกมากินเพลี้ยแป้งได้ โดยใช้อัตราปล่อย 10 จุดต่อไร่ จุดละ 1 ซองหรือถุง

การปล่อยตัวอ่อนแมลงช้างปีกใส ให้นำตัวอ่อนของแมลงช้างปีกใสที่เกาะอยู่บนกระดาษในกล่องเลี้ยงวางบริเวณต้นหรือยอดมันสำปะหลังที่พบการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง โดยปล่อยในช่วงเวลาตอนเย็น อัตรา 200-500 ตัวต่อไร่ (ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของจำนวนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง) และควรปล่อยแมลงช้างปีกใสในระยะเริ่มพบกลุ่มไข่เพลี้ยแป้ง 2-3 กลุ่มไข่ต่อต้น งดการใช้สารกำจัดแมลง ซึ่งควรปล่อยแมลงช้างปีกใสอย่างต่อเนื่องจนไม่พบกลุ่มไข่เพลี้ยแป้ง


แตนเบียนแตนเบียนอะนาไกรัส โลเปไซ (Anagyrus lopezi) เป็นแตนเบียนที่มีประโยชน์ช่วยควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู พฤติกรรมการเข้าทำลายของแตนเบียน มี 2 วิธี ได้แก่ 1) การห้ำ แตนเบียนเพศเมียใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าไปในลำตัวเพลี้ยแป้งเพื่อสร้างบาดแผลจากนั้นใช้ปากเลียกินของเหลวจากรอยแผลเพื่อนำโปรตีนจากของเหลวในลำตัวเพลี้ยแป้งไปใช้สร้างไข่ วิธีนี้จะทำให้เพลี้ยแป้งตายทันที 2) การเบียน แตนเบียนเพศเมียใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าไปในลำตัวเพลี้ยแป้งและวางไข่ภายใน หนอนแตนเบียนดูดกินของเหลวในลำตัวเพลี้ยแป้งเจริญเติบโตเข้าดักแด้อยู่ภายใน แตนเบียน 1 ตัว ฆ่าและทำลายเพลี้ยแป้งวันละ 20 - 30 ตัว และลงเบียนเพลี้ยแป้งได้วันละ 15 - 20 ตัว ลักษณะสำคัญที่ใช้จำแนกเพศของแตนเบียนชนิดนี้ คือส่วนหนวดแตนเบียนเพศผู้มีลักษณะยาวเรียวสีดำและมีขนเล็กที่ส่วนของปล้องหนวด เพศเมียมีหนวดปล้องแรกของเพศเมียมีลักษณะแบนและใหญ่กว่าหนวดปล้องอื่นและปล้องหนวดมีสีขาวสลับดำ (สุภราดา และคณะ, 2563)

การใช้แตนเบียนในการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง เมื่อเริ่มพบการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง หรือการเข้าทำลายยังไม่มากให้ปล่อยแตนเบียนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง อัตรา 50 คู่ต่อไร่ แต่หากพบการระบาดของเพลี้ยแป้งอย่างรุนแรง ให้เพิ่มอัตราการปล่อยแตนเบียนเป็น 200 คู่ต่อไร่ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)

ไรแดง

ไรแดง (Mites) เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของมันสำปะหลัง โดยไรจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบทำให้สูญเสียคลอโรฟิลล์ ไรชนิดที่พบมากในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง คือ ไรแดงหม่อน บางคนเรียกว่า ไรแดงมันสำปะหลัง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tetranychus truncates Ehara ไรชนิดนี้ดูดกินน้ำเลี้ยงอยู่ใต้ใบ ทำลายใบแก่และใบเพสลาด หากระบาดรุนแรงจะเคลื่อนย้ายไปดูดกินน้ำเลี้ยงบนยอดอ่อน สร้างเส้นใยปกคุมใบและลำต้น เมื่อไรเริ่มเข้าทำลายจะเห็นเป็นจุดประด่างเหลืองบนผิวด้านบนของใบ ถ้าเข้าทำลายอย่างรุนแรงจะทำให้ใบไหม้และขาดพรุนตรงกลางใบ ใบลู่ลงและเหี่ยวแห้ง ถ้าไรเข้าทำลายในมันสำปะหลังอายุ 1-3 เดือน อาจทำให้ใบร่วง ยอดแห้ง และตายได้ นอกจากนั้นยังพบไรอีก 2 ชนิดที่เป็นศัตรูที่สำคัญ ได้แก่ ไรแมงมุมคันซาบา (T. kanzawai Kishida) และ ไรแมงมุม (Oligonychus biharensis Hirst) พบระบาดรุนแรงในบางพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ในอดีตพบว่า ไรแดงระบาดเป็นครั้งคราวและไม่รุนแรงมาก หากเกษตรกรพ่นสารป้องกันกำจัดไรได้ทันในขณะที่ต้นมันสำปะหลังมีขนาดเล็กก็จะยับยั้งการระบาดของไรได้

ลักษณะอาการ

ไรทำความเสียหายแก่มันสำปะหลังโดยการดูดกินน้ำเลี้ยงใต้ใบ จากใบบริเวณส่วนล่างสู่ส่วนยอด ทำให้ใบเหลืองซีด ม้วนงอ และร่วง มักพบเป็นปัญหามากในช่วงแล้ง

การป้องกันกำจัด

หลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังในช่วงที่จะทำให้มันสำปะหลังกระทบแล้งตั้งแต่ช่วงต้นเล็กหรืออายุน้อยอยู่ เก็บส่วนของพืชที่มีไรอยู่ไปเผาทำลายทิ้ง ถ้าพบการระบาดของไรรุนแรง ให้ใช้สารฆ่าแมลง ได้แก่ อีโทเฟนพรอกซ์ (etofenprox) และไดโคฟอล ฉีดพ่นตามคำแนะนำในฉลาก (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556)

 
ลักษณะอาการบนใบมันสำปะหลังเกิดจากการเข้าทำลายของไร

แมลงหวี่ขาว

ในมันสำปะหลังพบแมลงหวี่ขาว 2 ชนิด คือ แมลงหวี่ขาวยาสูบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Bemisia tabaci (Gennadius) และแมลงหวี่ขาวใยเกลียว ชื่อวิทยาศาสตร์ Aleurodicus disperses Russell โดยแมลงหวี่ขาวใยเกลียว ตัวเต็มวัยมีขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร ลำตัวสีเหลืองอ่อน ปีกคลุมด้วยผงสีขาวคล้ายผงแป้ง วางไข่เป็นรูปวงกลมด้านหลังใบมันสำปะหลัง ลักษณะเป็นวงเกลียวมีเส้นใยสีขาวปกคลุม แต่ละวงจะมีไข่ประมาณ 14-26 ฟอง ระยะไข่ใช้เวลา 7 วัน ตัวอ่อนมีเส้นใยสีขาวปกคลุมทั่วลำตัว มี 4 ระยะใช้เวลา 30 วัน โดยตัวอ่อนระยะ 1 จะแขวนอยู่บนใบพืช ส่วนตัวอ่อนระยะอื่นจะไม่เคลื่อนไหว ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 3-7 วัน ส่วนแมลงหวี่ขาวยาสูบ ตัวเต็มวัยมีความยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ลำตัวสีเหลืองอ่อน ปีกสีขาว ตาสีดำ ไข่มีขนาด 0.1-0.3 มิลลิเมตร ตัวอ่อนสีเหลืองใส ลักษณะแบนราบติดไปกับผิวใบมันสำปะหลังลอกคราบ 3 ครั้ง ระยะตัวอ่อน 11-18 วัน ดักแด้ตัวจะนูนสีเหลืองเข้มขึ้นตาสีแดง มีขนาดประมาณ 0.6-0.8 มิลลิเมตร ตัวเต็มวัยจะออกจากดักแด้ตรงรอยแตกที่ส่วนอก เพศเมียสามารถวางไข่ได้สูงสุดมากกว่าร้อยฟอง ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 2-11 วัน มีการสืบพันธุ์แบบ parthenogenesis (การออกลูกเป็นตัวโดยไม่มีการสืบพันธุ์) (สำนักงานวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช,  2559)[2]

ลักษณะอาการ

ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนใต้ใบของพืช และถ่ายมูลทำให้เกิดราดำส่งผลให้พืชสังเคราะห์แสงได้น้อยลง นอกจากนี้ในแมลงหวีขาวยาสูบสามารถเป็นแมลงพาหะถ่ายทอดโรคใบด่าง (Cassava mosaic disease) ได้ด้วย (อุดมศักดิ์, 2555)

การป้องกันกำจัด

หลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังในช่วงที่สภาพอากาศแห้แล้งในช่วงที่มันสำปะหลังยังเล็ก เก็บส่วนของพืชที่พบแมลงหวี่ขาวอยู่ไปเผาทำลายทิ้ง หรือทำการควบคุมด้วยชีววิธีด้วยแมลงศัตรูธรรมชาติ คือแมลงช้าง ปล่อยลงในแปลง หากมีการระบาดรุนแรงให้ทำการฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัดแมลง เช่น อีโทเฟนพรอกซ์ (Etofenprox) อิมิดาคลอพริด (Imidacloprid) ไธอะมีโทแซม (Thiamethoxam) ฉีดพ่นอัตราตามฉลากแนะนำ (อุดมศักดิ์,  2555)

เพลี้ยหอย

พบมีการแพร่ระบาดในแหลงปลูกมันสำปะหลังรุนแรงทางภาคตะวันออก เช่น ระยอง ปราจีนบุรี สระแก้ว ในช่วงฤดูปลูกปี 2557-2558 โดยมีการแพร่กระจายไปกับท่อนพันธุ์

เพลี้ยหอยเกล็ด

มีชื่อวิทยาศาสตร์ Parasaissetia nigra (Nietner) ลักษณะเด่นตัวเต็มวัยเพศเมีย มีลำตัวรูปวงรี ยาว 5.0-5.5 มิลลิเมตร กว้าง 3.8-4.0 มิลลิเมตร ระยะตัวอ่อน ผนังลำตัวมีสีเหลืองหรือน้ำตาลอ่อน ผนังลำตัวมีสีดำถึงน้ำตาลเข้ม และในช่วงวางไข่ลำตัวมีลักษณะนูนขึ้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทำความเสียหายกับมันสำปะหลังด้วยการดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณลำต้น หรือใบของมันสำปะหลัง มีพืชอาหารหลากหลายกว่า 400 ชนิดวงจรชีวิตเวลาประมาณ 45-60 วัน (อุดมศักดิ์,  2555)

เพลี้ยหอยขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ Aonidomytilus albus (Cockerell) ตัวเต็มวัยเพศเมียมีแผ่นคล้ายเปลือกหอยแมลงภู่สีขาวคลุมลำตัว แผ่นลำตัวยาวประมาณ 1.7-2.5 มิลลิเมตร กว่างประมาณ 0.9-1.2 มิลลิเมตร เมื่อเปิดแผ่นปกคลุมลำตัวขึ้นจะพบตัวเพลี้ยหอยเกล็ดซึ่งมีขนาดเล็ก ลำตัวมีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลืองเข้ม ดูดกินน้ำเลี้ยงที่ลำต้น ก้านใบ และหลังใบมันสำปะหลัง มีพืชอาหารกว่า 21 ชนิด วงจรชีวิตเวลาประมาณ 24-29 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ (อุดมศักดิ์,  2555)

 
ลักษณะของเพลี้ยหอยเข้าทำลายบริเวณลำต้นของมันสำปะหลัง

การป้องกันกำจัด

ทำการแช่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสาร เช่น ไทอะมีโธแซม 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาคลอพริด 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ซึ่งเป็นสารที่แนะนำมาใช้ในการกำจัดเพลี้ยแป้งได้ เมื่อพบการแพร่ระบาดในแปลงควรใช้สารเคมีที่ได้มีการแนะนำข้างต้นผสมกับ ไวท์ออย (white oil) อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร โดยผสมในน้ำปริมาณน้อย คนให้สารละลายเข้ากันได้ดีก่อนเติมน้ำจนได้ปริมาตรตามต้องการ (อุดมศักดิ์,  2555)

ปลวก

 
ลักษณะการเข้าทำลายของปลวก

ชื่อวิทยาศาสตร์ Odontotermes takensis (Ahmad) มีลักษณะคล้ายมดแต่มีลำตัวสีขาว มีการสร้างทางเดินที่มีดินหุ้มเพื่อรักษาความชื้น ซึ่งจะเห็นดินเป็นทางยาวตามลำต้นหรือเป็นแผ่นหุ้มทั้งลำต้น ปลวกอยู่รวมกันเป็นสังคม รังของปลวกอาจเป็นจอมปลวกเหนือดินหรือ อยู่ใต้ดิน ในฤดูแล้งมักพบปัญหาปลวกกัดกินต้นและหัวมันสำปะหลัง การทำลายของปลวกสังเกตได้จากดินที่พอกอยู่บริเวณโคนต้นมันสำปะหลัง (อุดมศักดิ์,  2555)

การป้องกันกำจัด

ทำการป้องกันก่อนการปลูกด้วยสารเคมี อิมิดาคลอพริด อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร แช่ท่อนพันธุ์ หากมีการระบาดในช่วงหลังปลูก ให้พ้นที่โคนต้นด้วยสาร ฟีโพรนิล อัตราส่วน 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร (อุดมศักดิ์,  2555)

 
ลักษณะของปลวก


แมลงนูนหลวง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Lepidiota stigma Fabricius  เป็นแมลงที่เข้าทำลายมันสำปะหลังในช่วงอายุ 1-3 เดือน โดยมีการระบาดมากในช่วงสภาพอากาศแห้แล้งเป็นเวลายาวนาน แมลงนูนหลวงจะทำลายโดยการกัดกินผิวของท่อนพันธุ์หรือผิวรากแล้วเจาะรูเข้าไปในเนื้อไม้ ทำให้รากเน่า หรือต้นตายได้ (อุดมศักดิ์, 2555)

 
ลักษณะบริเวณโคนต้นถูกแมลงนูนหลวงทำลาย

การป้องกันกำจัง

แมลงนูนหลวงเป็นแมลงที่มีระยะตัวเต็มวัยปีละ 1 ครั้ง โดยเกษตรกรต้องทำการเก็บตัวเต็มวัยทำลาย โดยเฉพาะในช่วงประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เป้นช่วงที่แมลงผสมพันธุ์จะช่วยให้ปริมาณแมลงลดลงได้ ในบริเวณที่มีการเข้าทำลายมากให้ทำการไถพรวนหลายๆครั้ง เพื่อทำลายไข่และหนอนก่อนที่จะเป็นตัวเต็มวัย (อุดมศักดิ์, 2555)


อ้างอิง

  1. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2556) เทคโนโลยี 52 สัปดาห์ มันสำปะหลัง. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์:กรุงเทพฯ.
  2. สำนักงานวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช.  2559. คู่มือการจัดการ ปัญหาศัตรูมันสำปะหลังแบบผสมผสาน. การันตี, กรุงเทพฯ.