ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช"
(ไม่แสดง 2 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 95: | บรรทัดที่ 95: | ||
กลุ่ม C สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการหายใจ (C: respiration) | กลุ่ม C สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการหายใจ (C: respiration) | ||
กลุ่ม D สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์กรดอะมิโน และโปรตีน (D: amino acid and protein synthesis) | |||
กลุ่ม E สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งสัญญาณเข้าสู่เซลล์ (E: signal transduction) | กลุ่ม E สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งสัญญาณเข้าสู่เซลล์ (E: signal transduction) |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 07:54, 22 พฤศจิกายน 2564
ในการปลูกมันสำปะหลังในช่วงระยะเวลา 1 ปี มีศัตรูพืชเข้าขัดขวางการเจริญของมันสำปะหลังหลากหลายชนิด ดังเช่นเชื้อโรค แมลง และวัชพืช เมื่อเข้าทำลายส่งผลให้มีปริมาณผลผลิตลดลงหรือพืชเกิดอาการผิดปกติ ดังนั้นในการควบคุมโรค แมลง และวัชพืช ดังกล่าวจึงมีด้วยกันหลายวิธีทั้งการใช้สารเคมีในการควบคุมหรือการควบคุมทางชีวภาพ โดยมีการจำแนกดังนี้
การจำแนกสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชแก้ไข
- การจำแนกตามชนิดของศัตรูพืชที่ต้องการควบคุม
- สารเคมีป้องกันและกำจัดแมลง (Insecticides) เป็นสารเคมีที่ใช้ควบคุมแมลง หรือสัตว์ที่ใกล้เคียงกับแมลง เห็บ (ticks) และแมงมุม (spiders)
- สารเคมีป้องกันและกำจัดไร (Acaricide หรือ Miticide) เป็นสารเคมีที่ใช้ควบคุมศัตรูพืช
- สารเคมีป้องกันและกำจัดไส้เดือนฝอย (Insecticides) เป็นสารเคมีที่ใช้ฆ่าไส้เดือนฝอย
- สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา (Fungicides) เป็นสารเคมีที่ใช้ควบคุม หรือยับยั้งการทพลายของเชื้อรา
- สารเคมีป้องกันและกำจัดเชื้อแบคทีเรีย (Bactericides) เป็นสารเคมีที่ใช้ควบคุม หรือยับยั้งการทำลายของเชื้อแบคทีเรีย
- สารเคมีป้องกันและกำจัดวัชพืช (Herbicides) เป็นสารเคมีที่ใช้ควบคุม หรือทำลายของวัชพืชหรือพืชที่เราไม่ต้องการ
- การจำแนกตามคุณสมบัติทางเคมี
- สารอนินทรีย์ (Inorganic Pesticides) เป็นสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ได้มาจากแร่ธาตุต่างๆ เช่นสารหนู (arsenic) ทองแดง (copper) ตะกั่ว (lead) ดีบุก (tin) สังกะสี (zinc) เป็นต้น สารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูตะกั่ว (Lead arsenate) สารหนูเขียว (Paris green) บอร์โด มิกซ์เจอร์ (Bordeaux mixture) เป็นต้น
- สารอินทรีย์สังเคราะห์ (Sythetic Organic Pesticides) เป็นสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ได้มาจากมนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งมีธาตุคาร์บอน และไฮโดรเจน เป็นองค์ประกอบหลัก และอาจมีธาตุอื่นๆอยู่ด้วยเช่น คลอรีน ฟอสฟอรัส ออกซิเจน หรือไนโตรเจน เป็นต้น สารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ในกลุ่มนี้ได้แก่ มาลาไธออน แคปแทน เป็นต้น
- สารอินทรีย์จากพืช (Derived Organic Pesticides) เป็นสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ได้มาจากมนุษย์สกัดมาจากส่วนต่างๆของพืช สารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ในกลุ่มนี้ได้แก่ นิโคตินจากยาสูบ ไพรีธรัมจากพืชตระกูลเบญจมาศ เป็นต้น
- เชื้อจุลินทรีย์ (Microbial Pesticides) เป็นสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ได้มาจากจุลินทรีย์ต่างๆ ได้แก่ เชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย สารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ในกลุ่มนี้ได้แก่ เชื้อไวรัส Nuclear Polyhedriosis Virus (NPV) เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า เชื้อราบิวเวอเรีย เป็นต้น
การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องแก้ไข
ในการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชในแปลงปลูกสิ่งที่ต้องคำนึงในระดับต้นคือความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในแปลง โดยสารเคมีที่ใช้ส่งผลต่อมนุษย์ได้หลายระดับ อาจส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตได้ ดังนั้นควรมีข้อปฏิบัติดังนี้
- อ่านฉลากกำกับโดยตลอดให้เข้าใจก่อนใช้และต้องปฏิบัติตามคำเตือนและข้อควรระวังโดยเคร่งครัด (ดังภาพ)
- การผสมสารกำจัดศัตรูพืช อย่าใช้มือผสมให้ใช้ ไม้กวน หรือคลุกให้เข้ากัน
- อย่าใช้ปากเปิดขวดสารกำจัดศัตรูพืชหรือเป่าดูดสิ่งอุดตันที่หัวฉีดควรเปลี่ยนหัวฉีดใหม่หรือใช้ลวดเขี่ย
- การฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช ควรแต่งตัวให้มิดชิดเพื่อป้องกันมิให้ถูกละอองสาร
- ขณะฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช ควรอยู่เหนือลมเสมอและ หยุดฉีด เมื่อลมแรง
- อย่าสูบบุหรี่หรือรับประทานอาหารขณะใช้สารกำจัดศัตรูพืช
- อย่าล้างภาชนะบรรจุหรืออุปกรณ์เครื่องพ่นลงไปในทางน้ำ บ่อ คลอง ฯลฯ
- เมื่อเสร็จการใช้สารกำจัดศัตรูพืชแล้ว ให้ถอดเสื้อผ้าที่ใส่ออกซักแล้วอาบน้ำให้สะอาด
- หยุดฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืชตามกำหนดก่อนเก็บเกี่ยวพืชตามที่ระบุในฉลาก
- ถ้ารู้สึกไม่สบายให้หยุดฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช และรีบไปพบแพทย์พร้อมภาชนะบรรจุและฉลาก
- เก็บสารกำจัดศัตรูพืชไว้ในภาชนะเติมเท่านั้น อย่าถ่ายภาชนะโดยเด็ดขาด
- เก็บสารกำจัดศัตรูพืชไว้ในที่ปลอดภัย ห่างจากเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร และเปลวไฟ
- ภาชนะบรรจุสารกำจัดศัตรูพืชเมื่อใช้หมดแล้วให้ทำลาย (ฤทธิชาติ, ม.ป.พ.)
การใช้สารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพแก้ไข
- ใช้ในอัตราส่วน ช่วงเวลาการใช้ และจำนวนครั้งตามคำแนะนำหน้าฉลาก
- ใช้สารเคมีให้ตรงกับชนิดของศัตรูพืช ถูกประเภท และถูกวิธี
สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชแก้ไข
แบ่งออกได้ 3 หัวข้อหลัก ดังนี้
สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงแก้ไข
การแบ่งกลุ่มของสารฆ่าแมลงตามช่องทางการเข้าทำลายแก้ไข
สารฆ่าแมลงในที่นี้จะรวมทั้งสารกำจัดไรศัตรูพืชด้วย เนื่องจากมีสารฆ่าแมลงบางชนิดสามารถใช้กำจัดไรศัตรูพืชได้ด้วย เนื่องจากไรจัดอยู่ในกลุ่มแมล สัตว์มี 8 ขา ดังนั้นก่อนการเลือกซื้อควรอ่านฉลากให้ดีว่าสามารถใช้กับชนิดของศัตรูพืชใดได้บ้าง แบ่งตามลักษณะการเข้าทำลายดังนี้
- ออกฤทธิ์แบบสัมผัส (Contact poisions) สารในกลุ่มนี้จำเป็นต้องพ่นให้ถูกตัวแมลงให้มากที่สุดจึงจะได้ผล ในขณะเดียวกันสารยังมีฤทธิ์ตกค้างยังอยู่บนใบพืชเมื่อแมลงสัมผัสภายหลังยังอาจทำให้แมลงตายได้ ในแมลงบางชนิดที่หลบซ่อนตัวอยู่ในใบม้วนเมื่อได้กลิ่นเหม็นอาจคลานออกมาจากที่หลบซ่อน ทำให้สัมผัสกับสารเคมีและตายได้เช่นกัน ซึ่งแบ่งออกได้ 3 แบบคือ ถูกตัวตายโดยตรง ถูกตัวตายโดยสารพิษตกค้าง และ ประเภทกินตาย
- ออกฤทธิ์แบบดูดซึม (Systemic) สารเคมีกลุ่มนี้มีคุณสมบัติดูดซึมเข้าไปในต้นพืชโดยอาจเข้าไปทางราก ทางใบ กิ่ง ลำต้น หรือจากส่วนใดส่วนหนึ่งของพืชที่สัมผัสกับสาร แล้วเคลื่อนย้ายไปสู่ส่วนต่างๆโดยเฉพาะยอดอ่อนที่แตกใหม่ๆ สารดูดซึมมักมีเป้าหมายในการป้องกันกำจัดแมลงพวกปากดูด เช่นแมลงหวี่ขาว เป็นต้น แบ่งออกได้ตามการเข้าทำลายดังนี้
- ทางราก (Passing the root) กลุ่มสาร Neonicotinoids นีโอนิโคตินอยด์ มีประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ด้วย เป็นสารฆ่าแมลงกลุ่มหนึ่งซึ่งมีการเข้าทำลายแมลงที่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้แมลงเป็นอัมพาตและตายภายใน 2-3 ชั่วโมง คล้ายกับสารนิโคตินซึ่งได้จากธรรมชาติ มีผลน้อยต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่มีพิษต่อผึ้งสูง สารไทอะมีโธแซมมีสูตรโครงสร้างแตกต่างจากสารนีโอนิโคตินอยด์อื่นๆเล็กน้อย โดยมีการละลายน้ำสูง และสามารถดูดซึมในลำต้นพืชได้ทันที
- ทางใบ (Passing the leaf) ได้แก่สารส่วนใหญ่ในกลุ่มออร์แกนโนฟอสเฟต (Organophosphate) คาร์บาเมท (Carbamate) เช่น ไดเมโทเอต dimethoate, พิริมิคาร์บ pirimicarb และ ออกซามิล oxamyl เป็นต้น สารบางชนิดออกฤทธิ์แบบแทรกซึม ส่วนใหญ่มีการเคลื่นที่เป็นระยะทางสั้นๆ จากจุดที่พ่น เช่นเคลื่อนที่แทรกซึมผ่านผิวใบจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง เช่น อะบาเม็กติน abamectin, ไพรีพรอกซีนเฟน pyriproxyfen เป็นต้น
- สารประเภทสารรม (Fumigant) สารเคมีกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการระเหยเป็นไอได้ดี โดยทั่วไปไม่สามารถนำมาฉีดพ่นได้ มักใช้ในโรงเก็บที่มีผ้าใบ หรือพลาสติกคลุมมิดชิด เช่น เมทิลโบร์ไมด์ Methyl bromide, อลูมิเนียมฟอสไฟด์ Aluminium phosphide และ แมกนีเซียมฟอสไฟล์ Magnesium phosphide (พิสุทธิ์, 2563)[1]
สารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชแก้ไข
แบ่งกลุ่มสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชตามคุณสมบัติดังนี้
ตามการออกฤทธิ์ต่อเชื้อสาเหตุโรคพืชแต่ละชนิดแก้ไข
เนื่องจากโรคพืชที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตจะเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์หลัก จึงมีการแบ่งประเภทสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชตามชนิดของเชื้อสาเหตุโรคพืชต่างๆ ดังนี้
- สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา
- สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
- สารเคมีป้องกันกำจัดไส้เดือนฝอย
- สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อไวรัส
การแบ่งประเภทสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชตามบทบาทในการป้องกันกำจัดโรคพืชแก้ไข
- สารที่มีคุณสมบัติป้องกัน (Preventative activity) คือสารเคมีที่มีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้เชื้อสาเหตุโรคพืชเข้าทำลาย โดยเมื่อฉีดพ่นสารเหล่านี้จะอยู่ที่ใบ เมื่อสปอร์เชื้อราตกลงบนใบพืชและงอกเป็น germ tube มาสัมผัสกับสารในกลุ่มนี้ที่อยู่บนใบ germ tube จะตายหรือไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ
- สารที่มีคุณสมบัติป้องกันกำจัดในช่วงเริ่มต้นของการเข้าทำลายและยังไม่ปรากฏอาการของโรค (Curative activity) สารเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าไปในเซลล์พืชและยับยั้งพัฒนาการของโรคในช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่แสดงอาการของโรค ซึ่งจะได้ผลดีมากเมื่อฉีดพ่นในช่วงเวลา 24-72 ชั่วโมงหลังการเข้าทำลาย สารชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นสารชนิดป้องกันเนื่องจากสารบางส่วนจะตกค้างที่ผิวใบ
- สารที่มีคุณสมบัติกำจัด (Eradicative activity) สารกลุ่มนี้มีความสามารถในการดูดซึมเข้าไปในเซลล์พืชและเคลื่อนที่ได้ในระยะใกล้ภายในใบ หรือระยะไกลสู่ยอดหรือราก สารชนิดนี้สามารถยับยั้งการพัฒนาของโรค ยับยั้งการเจริญของเชื้อในเซลล์พืช ยับยั้งการสร้างสปอร์หรือส่วนขยายพันธุ์ จำทำให้ลดการแพร่กระจายของเชื้อสาเหตุโรคพืชได้ด้วย
การแบ่งประเภทของสารเคมีตามคุณสมบัติการเคลื่อนย้ายในพืชแก้ไข
- สารประเภทสัมผัสตาย (Contact fungicides) สารประเภทนี้เมื่อฉีดพ่นสารจะตกค้างอยู่ที่ผิวใบ เมื่อสปอร์ตกลงบนใบเมื่องอก germ tube จะตายหรือไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ
- สารที่เคลื่อนที่ได้ในระยะใกล้ (Localized penetrant หรือ Locally systemic fungicides) คือสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อสาเหตุโรคพืชที่อยู่บนผิวใบและภายในใบ โดยสามารถดูดซึมเข้าในใบและเคลื่อนย้ายในใบได้ระยะสั้นๆ
- สารที่เคลื่อนที่สู่ยอด (Acropetal penetrant หรือ Xylem-mobale หรือ Upwardly systemic fungicides) เป็นสารที่สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อสาเหตุโรคพืชทั้งที่เจริญบนใบ ภายในใบ ลำต้นของพืช และส่วนเจริญของพืชเช่นยอด ตา ใบอ่อนได้ โดยสารมคุณสมบัติเคลื่อนย้ายไปตามท่อน้ำ (Xylem) สู่ด้านบนหรือไปยังยอดอ่อนในพืช
- สารที่เคลื่อนย้ายจากบนใบไปใต้ใบ (Translaminar fungicides) เป็นสารเคมีที่พัฒนาเพื่อควบคุมเชื้อราสาเหตุโรคที่เจริญอยู่ใต้ใบได้ เช่น ราสนิม ราน้ำค้าง เป็นต้น โดยสารดังกล่าวมีคุณสมบัติสามารถเคลื่อนที่จากผิวใบไปใต้ใบได้
- สารประเภทดูดซึม (Systemic หรือ Amphimobile fungicides) เป็นสารเคมีที่สามารถเคลื่อนย้ายไปสู่ยอดและปลายรากไปสู่ยอด และปลายราก ตามท่อน้ำและท่ออาหาร (Phloem) สารในกลุ่มนี้สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อทั้งที่เจริญอยู่บนผิวพืช ภายในใบ รากและลำต้น
- สารที่เคลื่อนที่กระจายทั่วใบ (Mesostemic fumgicides) เป็นสารเคมีที่สามารถเคลื่อนย้ายไปบริเวณใกล้เคียงในรูปของไอหรือก๊าซได้ รวมทั้งยังถูกดูดซึมและเคลื่อนที่ไปใต้ใบได้ โดยสามารถยึดเกาะได้ดีบนผิวใบโดยยึดติดกับแว๊กซ์
- สารที่เคลื่อนที่ได้ (Mobile fungicides) สารประเภทนี้อาจเป็นสารชนิดดูดซึมหรือไม่ดูดซึม แต่สารมารถเคลื่อนย้ายจากบริเวณที่ฉีดพ่นไปยังบริเวณที่ไม่ถูกสารได้ โดยสารชนิดไม่ดูดซึมบางชนิดสามารถเคลื่อนย้ายในรูปของไอหรือก๊าซได้
- สารชนิดไม่ดูดซึม (Non-systemic fungicides) เป็นสารที่มีคุณสมบัติป้องกัน เมื่อฉีดพ่นสารจะอยู่ที่ผิวใบไม่สามารถแทรกซึมหรือถูกดูดซึมเข้าสู่ภายในต้นพืช การแพร่กระจายของสารอาจเกิดขึ้นพียงเล็กน้อยในรูปของไอระเหยหรือโดยการไหลไปตามน้ำ
การแบ่งประเภทสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชตามกลไกการออกฤทธิ์ในกิจกรรมเมตาบอไลต์ในเซลล์ของเชื้อสาเหตุโรคพืช (Breadth of metabolic activity)แก้ไข
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
- สารที่มีกลไกออกฤทธิ์เฉพาะจุด (Single-site fungicides) สารกลุ่มนี้จะส่งผลยับยั้งการทำงานเพียงหนึ่งจุดในกระบวนการเมตาบอไลต์ภายในเซลล์เชื้อสาเหตุ
- สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งหลายจุด (Multi-site fungicides) สารในกลุ่มนี้สามารถเข้าขัดขวางหรือยับยั้งการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดหรือส่งผลต่อกิจกรรมเมตาบอไลต์ภายในเซลล์ของเชื้อสาเหตุได้หลายกิจกรรมในเวลาเดียวกัน
การแบ่งกลุ่มสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชตามการจัดกลุ่มโดยคณะกรรมการติดตามการต้านทานสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืช (Fungicides resistance action committee, FRAC) แก้ไข
โดยองค์กร FRAC ได้จัดกลุ่มสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชตามคุณสมบัติทางเคมีของสารแต่ละชนิด โดยจัดแบ่งกลุ่มเป็น FRAC 1-46 และ FRAC M รวมทั้งจัดกลุ่มตามกลไกการออกฤทธิ์ (Mode of action) เพื่อใช้ประกอบคำแนะนำในการใช้สารป้องกันการเกิดการต้านทานของเชื้อสาเหตุโรคพืช โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ตามกลไกการออกฤทธิ์ 12 กลุ่มดังนี้
กลุ่ม A สาที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก (A: nucleic acid synthesis)
กลุ่ม B สารที่มีกลไกการออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และการแบ่งเซลล์ (B: mitosis and cell division)
กลุ่ม C สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการหายใจ (C: respiration)
กลุ่ม D สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์กรดอะมิโน และโปรตีน (D: amino acid and protein synthesis)
กลุ่ม E สารที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งสัญญาณเข้าสู่เซลล์ (E: signal transduction)
กลุ่ม F สารมีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ไขมันและส่งผลต่อความสมบูรณ์ของเยื่อหุ้มเซลล์ (F: lipid synthesis and membrane integrity)
กลุ่ม G สารมีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการชีวสังเคราะห์สเตอรอลในเยื่อหุ้มเซลล์ต่างๆ (G: sterol biosynthesis in membranes)
กลุ่ม H สารมีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการชีวสังเคราะห์ผนังเซลล์ (H: cell wall biosynthesis)
กลุ่ม I สารมีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสังเคราะห์เมลานินในผนังเซลล์ (I: melanin synthesis in cell wall)
กลุ่ม P สารที่มีคุณสมบัติชักนำให้เกิดความต้านทาน (P: host plant defense induction)
กลุ่ม U สารที่ไม่สามารถจำแนกกลุ่มได้ (U: unknown mode of action)
กลุ่ม M สารมีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งในเซลล์เชื้อสาเหตุโรคพืชหลายตำแหน่ง (M: multi-site contact activity)
การแบ่งกลุ่มสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชตามประเภทของสารเคมีแก้ไข
เป็นการจัดแบ่งตามชนิดหรือคุณสมบัติทางเคมีของสาร โดยสารแต่ละชนิดจะมีฤทธิ์ในการป้องกันกำจัดเชื้อสาเหตุโรคพืชเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ ปัจจุบันมีการแบ่งสารนี้ออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
- สารประกอบอนินทรีย์
- สารประกอบอินทรีย์
- สารประกอบอินทรีย์ประเภทดูดซึม
- สารปฏิชีวนะ (ธิดา, 2559)[2]
สารเคมีกำจัดวัชพืชแก้ไข
สารกำจัดวัชพืชสามารถแบ่งประเภทหรือกลุ่มโดยยึดเกณฑ์ต่างกัน ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ (Ashton and Craft, 1981)[3]
แบ่งตามขอบเขตของชนิดพืชที่ควบแก้ไข
- ประเภทเลือกทำลาย (Selective herbicides) สารเคมีที่ใช้ควบคุมพืชบางชนิด แต่ไม่มีผลหรือมีผลน้อยกับพืชบางชนิด โดยส่วนใหญ่ในท้องตลาดเป็นสารประเภทเลือกทำลาย คือ ไม่เป็นอันตรายหรือเพียงเล็กน้อยกับพืชที่ปลูก
- ประเภทไม่เลือกทำลาย (Nonselective herbicides) สารเคมีที่ใช้กำจัดหรือเป็นอันตรายกับพืชทุกชนิดที่ได้รับสารประเภทนี้เข้าไป
แบ่งตามลักษณะการใช้กับพืชแก้ไข
- ประเภทใช้ทางใบ (Foliar application) คือสารกำจัดวัชพืชที่เข้าสู่พืชทางใบหรือยอดอ่อน สามารถแบ่งได้ดังนี้
- ประเภทสัมผัสหรือถูกตาย (contact herbicides) สารสามารถทำลายพืชได้เฉพาะส่วนที่สัมผัสสารเท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนย้ายไปส่วนอื่นๆในพืช
- ประเภทซึมซาบ (Systermic หรือ translocated herbicides) สารที่เข้าสู่พืชแล้วสามารถเคลื่อนย้ายไปส่วนอื่นๆของพืชได้ โดยจะย้ายไปตามท่ออาหาร (phloem) เป็นส่วนใหญ่ และจะทำลายจุดต่างๆที่เคลื่อนย้ายไปถึง
- ประเภทใช้ทางดิน (Soil application) สารกำจัดวัชพืชที่เข้าสู่ทางรากหรือส่วนอื่นๆ ของพืชที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งรวมไปถึงใบเลี้ยงหรือยอดอ่อนก่อนจะโผล่พ้นผิวดินด้วย สารกำจัดวัชพืชชนิดนี้มีผลตกค้างในดิน โดยสารบางชนิดตกค้างได้นานเป็นปี ขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้นของสาร และสภาพแวดล้อม
แบ่งตามกลุ่มทางเคมี (Chemical classification)แก้ไข
โดย Ashton และ Craft (1981)[3] และ Klingman และ Ashton (1982)[4] ได้จำแนกตามประเภทและกลุ่มของสารกำจัดวัชพืชตามลักษณะทางเคมี ดังนี้
- ประเภทสารอนินทรีย์ (Inorganic herbicides) เช่น ammonium sulfamate (AMS), copper sulfate, calcium cyanamide, copper chelate, sodium chlorate, hexaflurate เป็นต้น โดยมีผลต่อพืชในลักษณะทำลายเซลล์พืชเป็นส่วนใหญ่
- ประเภทสารอินทรีย์ (Organic herbicides) โดยสามารถแบ่งย่อยออกได้เป็นกลุ่มต่างๆ ตามโครงสร้างหลักขององค์ประกอบทางชีวเคมี คือ
1 Aliphatics เป็นสารที่มีโมเลกุลประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนต่อกันเป็นลูกโซ้โดยไม่มีส่วนที่เป็น ring
2 Amides สารในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ใช้ทางดินแบ่งได้เป็นสองกลุ่มย่อย คือ Chloroacetamides เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโต ลดการขยาย และการแบ่งเซลล์ และอีกกลุ่มย่อยเป็นสารที่มีผลต่อพืชแตกต่างกัน
3 Benzoics สารเคมีใช้ในทางใบ และซึมซาบได้ มีผลต่อการเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อพืชเจริญเติบโตอย่างไม่สมดุลย์ ในที่สุดทำให้พืชตายได้
4 Bipyridiliums สารในกลุ่มนี้เป็นสารประเภทสัมผัสตาย อาจมีการเคลื่อนย้ายในพืชได้บ้างหากฉีดพ่นให้กับพืชในระยะที่ไม่มีแสงแดด โดยเข้าทำลายคลอโรฟิลทำให้พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ และใบหรือส่วนอื่นของพืชที่มีสีเขียวเหี่ยวและร่วงในที่สุด
5 Carbamates มีความสามารถในการเลือกทำลายสูงบางชนิดใช้ทางดิน บางชนิดใช้ทางใบ สามารถเคลื่อนย้ายในพืชได้ ส่งผลต่อพืชโดยยับยั้งการแบ่งเซลลืบริเวณราก และที่ใช้ทางใบสามารถยับยั้งการแบ่งเซลล์บริเวณใบและราก
6 Dinitroanilines สารในกลุ่มนี้ใช้ในการเลือกทำลายโดยส่วนใหญ่ใช้ทางดิน ส่งผลต่อการยับยั้งการแบ่งเซลล์โดยเฉพาะราก ทำให้รากมีลักษณะโค้งงอนหรือสั้นกุด
7 Diphenyl ethers มีการเลือกเข้าทำลายได้สูงใช้ในระยะก่อนพืชงอกหรืองอกใหม่ทางดิน สามารถเข้าสู่พืชได้ทางรากและใบ เคลื่อนย้ายในพืชได้น้อย ยับยั้งหรือขัดขวางการสร้างและถ่ายทอดพลังงานของ Chloroplast และ Mitochondria
8 Nitriles เป็นกลุ่มสารที่มีการเลือกทำลายได้ต่ำ บางชนิดมีการใช้ทางดินบางชนิดใช้ทางใบ สาระสำคัญในกลุ่มนี้ คือ dichlobenil bromoxynil และ ioxynil เช่น dichlobenil ยับยั้งการเจริญเติบโตของยอดอ่อนหรือปลายราก
9 Phenoxys เป็นกลุ่มสารที่มีการเลือกทำลายได้สูงโดยเฉพาะพืชใบกว้าง เป็นสารที่จัดอยู่ในกลุ่มฮอร์โมนพืช ลักษณะการทำลายเริ่มด้วยการเกิดอาการโค้งงอกของพืชแบบโค้งเล็ก จากดารเจริญของเนื้อเยื่อไม่เท่ากันส่งผลให้การลำเลียงน้ำและอาหารเป็นไปด้วยความลำบาก และตายในที่สุด
10 Thiocarbamate เป็นกลุ่มสารที่มีการเลือกทำลายได้ค่อนข้างสูงโดยจะทำลายกับพืชใบแคบได้ดี ใช้ในการฉีดพ่นทางดิน และจะทำลายยอดอ่อนของพืชที่กำลังงอกจากผิวดิน โดยเข้าไปยับยั้งขบวนการ Lipid metabolism
11 Triazines เป็นกลุ่มสารที่มีการเลือกทำลายได้มากน้อยแตกต่างกันตามชนิดของสาร โดยส่วนใหญ่ใช้ในทางดินส่งผลการยับยั้งการสังเคราะห์แสง โดยเฉพาะยับยั้งขบวนการที่เรียกว่า Hill reaction ทำให้ใบมีสีเหลืองซีดและตายในที่สุด
12 Ureas เป็นกลุ่มสารมีการเลือกทำลายได้ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่ใช้ทางดิน ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยทำการยับยั้งการสังเคราะห์แสงโดยๆไปยับยั้ง Hill reaction สามารถเข้าทำลายได้ดีในพืชที่มีรากลึก เช่นไม้ยืนต้น
13 Uracils เป็นกลุ่มสารที่มีการใช้งานและการทำลายเช่นเดียวกันกับกลุ่ม Ureas แตกต่างกันที่โครงสร้างทางเคมี
14 สารชนิดอื่นๆ เป็นกลุ่มที่ยังไม่ชัดเจนเพราโครงสร้างเคมีไม่สามารถจัดลงในกลุ่มใดได้ เช่น Amitrole ใช้ในบริเวณที่ไม่ได้ปลูกพืช ควบคุมกำจัดวัชพืชฤดูเดียวหรือวัชพืชค้างปี
Bensulide ใช้ควบคุมวัชพืชในไม้ดอกไม้ประดับ และพืชผัก เป็นสารที่ตกค้างในดินนาน จึงเกิดปัญหาในการใช้
DCPA ใช้กำจัดวัชพืชในพืชตระกูลถั่ว และพืชผักได้ดีมาก
Endothall ใช้ควบคุมวัชพืชในแหล่งน้ำและในสนามหญ้า ควบคุมพืชใบกว้าง
Picloram ใช้ควบคุมพืชใบกว้างได้ดีทั้งพืชล้มลุกและยืนต้น
Triclopyr ใช้ควบคุมวัชพืชใบกว้างหลายชนิดรวมทั้งไม้เนื้อแข็ง เช่น ไมยราบยักษ์ เป็นต้น (คณะทรัพยากรธรรมชาติ, ม.ป.พ.)[5]
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ พิสุทธ์ เอกอำนวย. 2563. โรคและแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ. พิมพ์ครั้งที่ 7. สายธุรกิจโรงพิมพ์, กรุงเทพฯ, 1005 หน้า.
- ↑ ธิดา เดชฮวบ. 2559. สารเคมีที่ใช้ในการป้องกันกำจัดโรคพืช. พิมพ์ที่ บริษัท เอเชีย ดิจิตอล การพิมพ์, กรุงเทพฯ.
- ↑ 3.0 3.1 Ashton, F.M. and A.S. Crafts. 1981. Mode of Action of Herbicides 2nd ed. John Wiley & Sons, New York, NY, USA.
- ↑ Klingman, G.C. and F.M. Ashton. 1986. Weed Science Principles and Practices 2nd ed. John Wiley & Sons, New York, NY, USA.
- ↑ คณะทรัพยากรธรรมชาติ. ม.ป.พ. วัชพืชและการจัดการ. เอกสารประกอบการเรียนวิชาวัชพืช. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ที่มา: http://natres.psu.ac.th/Department/PlantScience/weed/pdf/part3.pdf, วันที่ 26 เมษายน 2564.