ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเตรียมดิน"
(ไม่แสดง 2 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 23: | บรรทัดที่ 23: | ||
'''ตาราง''' เกณฑ์ในการพิจารณาเนื้อดินในแปลงปลูกอย่างง่าย | '''ตาราง''' เกณฑ์ในการพิจารณาเนื้อดินในแปลงปลูกอย่างง่าย | ||
[[ไฟล์:การเตรียมดินเพื่อปลูกมันสำปะหลัง.jpg|thumb|ภาพ การเตรียมดินเพื่อปลูกมันสำปะหลัง]] | |||
{| class="wikitable" | {| class="wikitable" | ||
|ลักษณะดิน | |ลักษณะดิน | ||
บรรทัดที่ 56: | บรรทัดที่ 57: | ||
|> 45 | |> 45 | ||
|} | |} | ||
การเตรียมดินกลุ่มดินเนื้อละเอียด ที่ประกอบไปด้วย ดินเหนียว ดินเหนียวปนทรายแป้ง ดินเหนียวปนทราย ดินร่วนเหนียว และดินร่วนเหนียวปนทรายแป้ง ในการเตรียมพื้นที่ต้องเตรียมขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสม เนื่องจากความชื้นมีความสำคัญต่อการไถในดินชนิดนนี้ หากมีความชื้นมากเกินไป เช่น หลังฝนตกไม่ควรไถทันทีต้องรอให้ดินมีความชื้นลดลงก่อนจึงจะสามารถถะได้ ส่วนการไถพรวนสามารถทำได้หลังจากไถดะขณะที่มีความชื้นเหมาะสมเช่นกัน เพื่อทำให้ดินมีความร่วนซุย แต่หากไถขณะที่ดินที่แห้งเกินไปจะทำให้ดินแตกละเอียด แต่สามารถไถไว้ก่อนเพื่อรอฝนได้ และเมื่อฝนตกสามารถปลูกได้เลยโดยไม่ต้องยกร่องเป็นการลดค่าใช้จ่ายจากขั้นตอนการยกร่องไปอีกหนึ่งขั้นตอน | การเตรียมดินกลุ่มดินเนื้อละเอียด ที่ประกอบไปด้วย ดินเหนียว ดินเหนียวปนทรายแป้ง ดินเหนียวปนทราย ดินร่วนเหนียว และดินร่วนเหนียวปนทรายแป้ง ในการเตรียมพื้นที่ต้องเตรียมขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสม เนื่องจากความชื้นมีความสำคัญต่อการไถในดินชนิดนนี้ หากมีความชื้นมากเกินไป เช่น หลังฝนตกไม่ควรไถทันทีต้องรอให้ดินมีความชื้นลดลงก่อนจึงจะสามารถถะได้ ส่วนการไถพรวนสามารถทำได้หลังจากไถดะขณะที่มีความชื้นเหมาะสมเช่นกัน เพื่อทำให้ดินมีความร่วนซุย แต่หากไถขณะที่ดินที่แห้งเกินไปจะทำให้ดินแตกละเอียด แต่สามารถไถไว้ก่อนเพื่อรอฝนได้ และเมื่อฝนตกสามารถปลูกได้เลยโดยไม่ต้องยกร่องเป็นการลดค่าใช้จ่ายจากขั้นตอนการยกร่องไปอีกหนึ่งขั้นตอน | ||
บรรทัดที่ 88: | บรรทัดที่ 87: | ||
# การใช้ปุ๋ยเคมีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำมากและมีปริมาณธาตุอาหารพืชไม่เพียงพอ ควรใช้ปุ๋ยเคมีร่วมด้วยตามความเหมาะสมกับชนิดพืชที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีที่ละลายช้าแบ่งใส่ครั้งละน้อยๆ เป็นระยะใส่ในขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสมและควรใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์หรือใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน | # การใช้ปุ๋ยเคมีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำมากและมีปริมาณธาตุอาหารพืชไม่เพียงพอ ควรใช้ปุ๋ยเคมีร่วมด้วยตามความเหมาะสมกับชนิดพืชที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีที่ละลายช้าแบ่งใส่ครั้งละน้อยๆ เป็นระยะใส่ในขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสมและควรใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์หรือใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน | ||
== อ้างอิง == | == '''อ้างอิง''' == |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 06:06, 2 ธันวาคม 2564
การเตรียมดินที่เหมาะสมกับฤดูปลูก[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
ฤดูต้นฝน [1][แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การเตรียมดินสำหรับการปลูกมันสำปะหลังในช่วงต้นฤดูฝนควรไถทั้งหมด 3 ครั้ง ได้แก่ การการไถดะในครั้งที่ 1 ไถพรวนหรือไถแปรในครั้งที่ 2 และไถเพื่อยกร่องในครั้งที่ 3
สำหรับการการไถดะเป็นการการไถพลิกหน้าดินครั้งแรกเพื่อกำจัดวัชพืช และตากดินให้แห้งโดยการใช้ผาล 3 หรือผาล 4 โดยไถลึกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร แล้วทิ้งไว้ 7-14 วันเพื่อให้ซากพืชย่อยสลายและตากดินส่วนที่ไถขึ้นมา ควรไถดินในขณะที่มีความชื้นพอเหมาะไม่แฉะหรือแห้งเกินไป หากไถขณะที่ดินแฉะจะทำให้ดินจับตัวกันเป็นก้อนใหญ่ และเมื่อดินแห้งจะย่อยให้ละเอียดด้วยผาลพรวนได้ยาก หรือถ้าไถในขณะที่ดินแห้งเกินไปจะทำให้ไถได้ไม่ลึก ซึ่งจะพบปัญหานี้ในกลุ่มดินเนื้อละเอียด เช่น ดินเหนียว มากกว่าดินเนื้อหยาบและดินเนื้อปานกลาง
ส่วนการไถพรวนหรือไถแปรเป็นการไถครั้งที่ 2 เพื่อย่อยและคลุกเคล้า ดิน วัชพืช ฯลฯ ให้ลงไปในดิน โดยจะใช้จำนวนผาลมากขึ้น เช่น ผาล 6 ผาล 7 หรือผาลพรวนชนิดอื่น ๆ ควรทำขณะที่ดินไม่แฉะหรือแห้งเกินไป สามารถทำได้ในวันเดียวกับวันยกร่องปลูก แต่ไม่ควรเกิน 2-3 วัน เนื่องจากถ้ามีฝนตกหนักจะทำให้ยกร่องได้ยาก และวัชพืชอาจขึ้นอีกและอาจต้องมีการไถพรวนซ้ำได้
และการไถยกร่อง เป็นการจัดการพื้นที่ปลูกเพื่อให้สะดวกต่อการปลูกและช่วยระบายน้ำฝนเมื่อพื้นที่ปลูกมีฝนตกหนักเกินไป ควรยกร่องให้มีขนาดที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ซึ่งขนาดที่เหมาะสดต่อการปลูกมันสำปะหลังที่สุดคือ ความสูงของร่องประมาณ 25-30 เซนติเมตร และความกว้างของฐานร่องประมาณ 90-100 เซนติเมตร และการยกร่องควรยกร่อนขวางทิศทางลาดชันจะทำให้ลดการกร่อนของดิน
ฤดูปลายฝน [2][แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การเตรียมดินสำหรับการปลูกมันสำปะหลังในช่วงปลายฤดูฝนควรไถทั้งหมด 2 ครั้ง ได้แก่ การการไถดะในครั้งที่ 1 ไถพรวนหรือไถแปรในครั้งที่ 2
การไถดะการเตรียมดินสำหรับปลูกมันสำปะหลังในช่วงปลายฤดูฝนจะใช้ผาล 3 ไถ ขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสม หากกินมีความชื้นมากเกินไปจะทำให้รถไม่สามารถเข้าไถให้พื้นที่ได้ การไถในรอบนี้จะเป็นการไถที่ช่วยเก็บกัดความชื้นไว้ในดินเพื่อรอการไถครั้งต่อไป
ส่วนการไถพรวนหรือไถแปร ควรทำเมื่อพร้อมปลูกโดยปกติควรทำหลังการไถดะประมาณ 5-10 วัน หากเป็นดินร่วนทรายหรือดินทราย หลังจากการไถครั้งนี้สามารถปลูกได้เลยโดยปลูกแบบพื้นราบ ใช้วิธีขึงเชือกปลูก โดยไม่จำเป็นต้องยกร่องเพื่อประหยัดต้นทุนการเตรียมดิน
การเตรียมดินตามชนิดเนื้อดิน [1][แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การจำแนกชนิดดินอย่างง่าย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การจำแนกเนื้อดิน เป็นการจำแนกองค์ประกอบเชิงกายภาพของดิน เนื่องจากดินในแต่ละสถานที่มีลักษณะแตกต่างกัน จำเป็นต้องเก็บตัวอย่างดินส่งห้องปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์หาองค์ประกอบของดินว่าเป็นดินชนิดใด เพื่อจะได้วางแผนและจัดการพื้นที่ปลูกได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่สถาบันวิจัยพืชไร่ (2554) ได้แนะนำวิธีการตรวจสอบชนิดดินอย่างง่ายไว้โดยการปั่นดินเป็นเส้นเพื่อเปรียบเทียบดินชนิดต่าง ๆ ดังตาราง
ตาราง เกณฑ์ในการพิจารณาเนื้อดินในแปลงปลูกอย่างง่าย
ลักษณะดิน | ปั้นเป็นเส้นยาว
(ซม.) |
เนื้อดิน | เทียบเท่าเปอร์เซ็นต์ดินเหนียว (%) |
ทรายแยกเป็นเม็ด | ปั้นเป็นเส้นไม่ได้ | ทราย | 0 – 5 |
ทรายเป็นเม็ดและติดมือ | 0.5 – 1.5 | ทรายปนร่วน | 5 – 15 |
ทรายเกาะเป็นก้อนบ้าง | 1.5 – 2.5 | ร่วนปนทราย | 10 – 20 |
นุ่มลื่นมือ แน่น ไม่มีเม็ดทราย | 4.0 – 5.0 | ร่วนปนเหนียว | 25 – 40 |
เหนียว หนัก ยืดมาก | > 7.5 | เหนียว | > 45 |
การเตรียมดินกลุ่มดินเนื้อละเอียด ที่ประกอบไปด้วย ดินเหนียว ดินเหนียวปนทรายแป้ง ดินเหนียวปนทราย ดินร่วนเหนียว และดินร่วนเหนียวปนทรายแป้ง ในการเตรียมพื้นที่ต้องเตรียมขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสม เนื่องจากความชื้นมีความสำคัญต่อการไถในดินชนิดนนี้ หากมีความชื้นมากเกินไป เช่น หลังฝนตกไม่ควรไถทันทีต้องรอให้ดินมีความชื้นลดลงก่อนจึงจะสามารถถะได้ ส่วนการไถพรวนสามารถทำได้หลังจากไถดะขณะที่มีความชื้นเหมาะสมเช่นกัน เพื่อทำให้ดินมีความร่วนซุย แต่หากไถขณะที่ดินที่แห้งเกินไปจะทำให้ดินแตกละเอียด แต่สามารถไถไว้ก่อนเพื่อรอฝนได้ และเมื่อฝนตกสามารถปลูกได้เลยโดยไม่ต้องยกร่องเป็นการลดค่าใช้จ่ายจากขั้นตอนการยกร่องไปอีกหนึ่งขั้นตอน
การเตรียมดินกลุ่มดินเนื้อปานกลาง ที่ประกอบไปด้วย ดินร่วนเหนียวปนทราย ดินร่วน ดินร่วนปนทรายแป้ง และดินทรายแป้ง ดินชนิดนี้มีสมบัติการระบายน้ำได้ไม่เร็วหรือช้าเกินไปและมีการระบายอากาศได้ดี ดังนั้นในการเตรียมพื้นที่ต้องเตรียมขณะที่มีความชื้เหมาะสมโดยการไถ 2 ครั้ง คือ ไถดะและไถแปร ในการไถดะจะใช้ผาล 3 หรือ ผาล 4 ในการไถ โดยในการไถจะไถให้มีความลึกไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร ส่วนการไถครั้งที่ 2 เป็นการไถแปรจะไถหลังจากไถดะได้ทันทีหรือเว้นไว้ไม่เกิน 2-3 วัน และควรทำขณะที่ดินมีความชื้อเหมาะสมเช่นกัน
การเตรียมดินกลุ่มดินเนื้อหยาบ ที่ประกอบไปด้วย ดินทรายร่วน และดินร่วนปนทราย มีคุณสมบัติดีสามารถปลูกสำหรับการปลูกมันสำปะหลังได้ทั้งฤดูต้นฝนและปลายฝน ดังนั้นการเตรียมดินเพื่อปลูกเตรียมดินเหมือนกับการเตรียมดินกลุ่มดินเนื้อปานกลางมีการไถดะและไถแปร แต่ต้องยกร่องก่อนปลูก
การปรับปรุงสมบัติทางฟิสิกส์ของดิน [1][แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การปรับปรุงสมบัติของดินมีควาสำคัญต่อการผลิตมันสำปะหลังเป็นอย่างมาก เนื่องจากดินในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่มักเสื่อมโทรมเพราะว่ามีการปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่เดิมซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องโดยไม่พักดินและยังขาดการบำรุงดินที่เหมาะสม นอกจากนี้การใช้เครื่องจักรกลหนักในการเตรียมดินก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดินเสื่อมโทรม ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมดินและการเขตกรรมที่เหมาะสม ซึ่งปัญหาที่มักพบในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังมีดังนี้
ชั้นดานไถพรวน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การอัดตัวแน่นของดินเป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญต่อการปลูกมันสำปะหลัง ที่มีสาเหตุมากจากการไถพรวนพื้นที่อย่างต่อเนื่องปีละหลาย ๆ ครั้ง เช่น การไถเตรียมดินก่อนการปลูกมันสำปะหลัง การไถเพื่อการยกร่อง หรือการไถเพื่อกำจัดวัชพืช ส่งผลให้เกิดชั้นดานไถพรวนขึ้นทำให้มีสภาพพื้นที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของของมันสำปะหลัง โดยทั่วไปมักพบที่ความลึกประมาณ 30-40 เซนติเมตร ซึ่งสามารถสังเกตได้จากเมื่อฝนตกใหม่ ๆ จะมีน้ำท่วมขังบริเวณผิวดิน ทำให้จำกัดการไหลซึมผ่านของน้ำและอากาศไปยังราก ส่งผลให้มันสำปะหลังมีขนาดหัวที่เล็ก และทำให้หัวมันสำปะหลังเน่าในช่วงฤดูฝน
วิธีการแก้ปัญหา[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ไถระเบิดชั้นดานทำได้โดยการไถด้วยไถที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถเจาะและทำให้ดินชั้นดานแตกกระจายได้ คือ ไถลึก (deep plowing) หรือไถทำลายดินดาน (subsoiling) ควรไถที่ระดับความลึกประมาณ 75 เซนติเมตร โดยระยะห่างรอยละ 50 เซนติเมตร การไถตัดดานจะให้ผลเต็มที่ก็ต่อเมื่อทำการไถขณะที่ดินมีชั้นดานค่อนข้างแห้ง ซึ่งจะทำให้ชั้นดานถูกทำลายโดยการเกิดรอยแตกแยกได้ง่าย
- ใส่วัสดุปรับปรุงดินเพื่อทำให้โครงสร้างของดินดีขึ้นไม่เกิดการอัดตัวแน่นได้ง่าย และรวมทั้งการป้องกันการสลายตัวของเม็ดดินที่มีอยู่แล้ว เช่น การใส่หินปูนบด หรือยิปซัม ฟอสโฟยิปซัมอัตรา 100-200 กิโลกรัมต่อไร่ หรือการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในรูปปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก เช่น มูลไก่แกลบ หรือแกลบดิบในอัตรา 1 ตันต่อไร่ โดยไถกลบวัสดุปรับปรุงดินเหล่านี้ให้ลึกกว่าปกติ
- ปลูกพืชทำลายชั้นดาน พืชหลายชนิดมีระบบรากที่แข็งแรง สามารถเติบโตไชชอนผ่านชั้นดานที่พืชทั่วไปไม่สามารถทำได้ พืชเหล่านี้ได้แก่ หญ้าบาเฮีย (bahiagrass) หญ้าแฝก (vetiver Grass)
- ควบคุมความชื้นดิน ชั้นดานในดินล่างจะแข็งจนกระทั่งเป็นอุปสรรคต่อการแพร่กระจายของรากพืชก็ต่อเมื่อแห้งถึงระดับหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีความชื้นพอเหมาะรากพืชทั่วไปก็สามารถไชชอนเข้าไปในชั้นดานได้มากขึ้น ดังนั้น การรักษาความชื้นในดินชั้นดานให้พอเหมาะจึงสามารถลดผลกระทบของชั้นดานต่อการแพร่กระจายของรากพืชได้ระดับหนึ่ง การควบคุมความชื้นให้พอเหมาะนี้กระทำได้เฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบชลประทานที่ดีเท่านั้น ซึ่งในกรณีเช่นนี้ปัญหาที่พืชจะขาดแคลนน้ำ โดยเหตุที่รากพืชถูกจำกัดด้วยชั้นดานก็มีปัญหาอยู่แล้ว การส่งเสริมให้รากพืชแพร่กระจายลงในชั้นดานโดยการควบคุมความชื้นของชั้นดานให้เหมาะสมจึงเป็นการส่งเสริมให้พืชได้ใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารพืชในดินชั้นดานและใต้ดาน
ดินมีความจุในการกักเก็บธาตุอาหารและความชื้นต่ำ [3][แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
พบมากในกลุ่มดินเนื้อหยาบ ได้แก่ ดินทราย ดินทรายปนดินร่วน ดินร่วนปนทราย และดินที่มีการปลูกมันสำปะหลังต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหรือดินที่มีปริมาณอินทรียวัตถุต่ำ ทำให้ความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารและแลกเปลี่ยนธาตุอาหารต่ำมาก เมื่อมีการใส่ปุ๋ยเคมีลงไปทำให้เกิดการสูญเสียไปจากดินได้ง่าย ทำให้การตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยเคมีน้อย นอกจากนี้ดินทรายยังมีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ และเก็บน้ำไว้ไม่อยู่ง่ายต่อการขาดแคลนความชื้น ทำให้การเจริญเติบโตไม่ดีและให้ผลผลิตน้อยกว่าดินปกติ
วิธีการแก้ปัญหา[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ควรไถกลบตอซังและวัชพืชทุกครั้ง การปรับปรุงดินทำได้โดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์จำพวกปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก เช่น มูลไก่แกลบ เพื่อหวังผลในระยะยาวอย่างยั่งยืน
- การปรับปรุงดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปลูกพืชตระกูลถั่ว แล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสด เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารพืชและความสามารถในการอุ้มน้ำแก่ดินปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินทำให้ดินมีการเกาะยึดตัวดีขึ้น
- การอนุรักษ์ดินและน้ำที่เหมาะสมปลูกพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน การใช้วัสดุคลุมดินเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำและรักษาความชื้นไว้ในดิน
- การจัดการน้ำที่เหมาะสมเพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เช่น การให้น้ำแบบหยด เป็นต้น หรือขุดสระเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงที่พืชขาดน้ำ
- การใช้ปุ๋ยเคมีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำมากและมีปริมาณธาตุอาหารพืชไม่เพียงพอ ควรใช้ปุ๋ยเคมีร่วมด้วยตามความเหมาะสมกับชนิดพืชที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีที่ละลายช้าแบ่งใส่ครั้งละน้อยๆ เป็นระยะใส่ในขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสมและควรใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์หรือใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน
อ้างอิง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ↑ 1.0 1.1 1.2 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2556) เทคโนโลยี 52 สัปดาห์ มันสำปะหลัง. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์:กรุงเทพฯ.
- ↑ กรมพัฒนาที่ดิน. (2563). สภาพการชะล้างพังทะลายของดินในประเทศไทย. กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเสื่อมโทรม กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
- ↑ มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย. (2552). การปลูกมันสำปะหลังที่ดี. เข้าถึงได้จาก https://www.tapiocathai.org/pdf/Tapioca%20Plan/b_plow.pdf